นิวโรไดเวอร์เจ้น: ไม่ได้บ้า แต่กล้าแตกต่าง
- Jitwiwat
- 4 days ago
- 2 min read

คำอธิบายภาพ: เวทีเสวนาเรื่อง “นิวโรไดเวอร์เจ้น: ไม่ได้บ้า แต่กล้าแตกต่าง” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงของกลุ่มเยาวชนที่มีความหลากหลายทางระบบประสาท จัดโดยชุมชนกรุณา เบิกบานเฟส ร่วมกับเครือข่าย ในวันที่ 4 ตุลาคม 2568
ถึงแม้ว่า ในหลายๆ ประเทศ จะพยายามผลักดันเรื่องความหลากหลายของระบบประสาทของผู้คน ให้เป็นที่รู้จักและรับรู้ของสังคม แต่สำหรับประเทศไทย ยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายมากนัก ทำให้การแสดงออกของคนกลุ่มที่มีความหลากหลายทางระบบประสาท เช่น อาการออทิสติก และสมาธิสั้น ยังถูกมองว่าแปลกแยกและแตกต่างจากคนทั่วไป อีกทั้ง ในหลายๆ ครั้ง ยังถูกตัดสินจากสังคมในทางลบ
ชุมชนกรุณา เบิกบานเฟส และเครือข่าย จึงร่วมจัดเสวนา เรื่อง “นิวโรไดเวอร์เจ้น: ไม่ได้บ้า แต่กล้าแตกต่าง” เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่มีอาการทางประสาทที่หลากหลาย (neurodivergent) ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การมีอาการออทิสติกและสมาธิสั้น ที่มีผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจของตนเอง และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน เพื่อนร่วมงาน และแฟน
ต่าง: ฟังอยู่ คิดตาม เพียงแต่ไม่ได้สบตา
กมล นักศึกษา ป.โท สาขาพัฒนาการมนุษย์ ม.มหิดล ผู้บอกว่าตนเองมีอาการออสทิสติก และ ADHD เล่าว่า เธอรู้สึกประสบปัญหาในการใช้ชีวิตในสังคม เพราะการแสดงออกของเธอที่แตกต่างจากคนอื่น
เธอเล่าว่า “เวลาเราประชุม เราจะไม่มองตาหัวหน้า เพราะว่าถ้าเรามองตา เรารู้สึกว่าเราโฟกัสไม่ได้ เราต้องมองไปทางอื่น และเมื่อมองไปทางอื่น จะรู้สึกไม่ professional คนอื่นจะมองว่า เด็กคนนี้ ไม่มีมารยาท ทั้งๆ ที่มันเป็นวิธีโฟกัสของเรา”

กมล นักศึกษา ป.โท สาขาพัฒนาการมนุษย์ ม.มหิดล
“อีกวิธีหนึ่งในการโฟกัสของเราคือ การหมุนตัว เราเป็นสาย creative เราทำแบบนี้ เพื่อให้เรารู้สึกหัวแล่น คิดออก ซึ่งนั้นแหละ คนอื่นก็จะมองว่า เราควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้สึกสงบอย่างหนึ่ง” เธอบอกเล่าถึงความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นขณะทำงาน
เช่นเดียวกับ ริดดี้ กลุ่ม Young Pride Club Young Pride Foundation ผู้บอกเล่าว่า ตนเองมีอาการ ADHA ก็ได้แบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองว่า เคยมีคนตั้งคำถามต่อท่าทางและการแสดงออกของเรา ที่แตกต่างจากคนอื่น ทั้งที่ สิ่งที่ว่านี้ เป็นบุคลิกและลักษณะส่วนบุคคลของเขา
“น้องคะ ทำไมไม่มองตาเวลาคุยกับพี่ เราก็โอ้ ลืมไปว่า เรามองไปถึงตรงนั้น แล้วเราก็ฟังเขาทุกอย่าง แล้วเราก็ process อยู่ คุยกับเขาปกติ แต่แค่สายตาเราคือแบบ มองไปทางนั้น เพราะว่าสมองเรากำลังแล่นอยู่ประมาณนั้น ก็เลยเป็นความยากลำบากหนึ่ง ที่เราเจอ” ริดดี้ เล่า
ออทิสติก-สมาธิสั้น สู่ปัญหาทางใจ
บิ้ว กลุ่มหิ้งห้อยน้อย ก็ได้อธิบายว่า ความพยายามในการปิดปังอาการออทิสติกของตนเอง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้นั้น หลายครั้งได้ก่อให้เกิดอาการวิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ และนำไปสู่การหมดไฟในการทำงาน

บิ้ว กลุ่มหิ้งห้อยน้อย
“เราจะไม่ชอบการเข้าสังคมทั้งวัน ทั้งคืน เราต้องมีเวลาที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าจะไม่เป๊ะๆ แต่ต้องมีเวลาที่คิดไว้ในหัวก่อน อย่างน้อย 1 วัน แต่ถ้าน้อยกว่า 1 วัน แล้วมีอะไรมาแทรก เราจะค่อนข้างสติแตก แต่พอในสังคมของการทำงาน มันมีอะไรที่ไม่คาดฝันเยอะขึ้น ทำให้อาการของออทิสติกมันเริ่มเห็นชัดขึ้น” บิ้ว เล่าถึงอาการออทิสติก ที่เธอกำลังเผชิญอยู่
บิ้ว เล่าอีกว่า “เราจะมีอาการเกาะจมูกเล็บ แกะตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เราไม่ได้รู้ตัว เราคิดว่ามันแต่เล่นๆ เฉยๆ แล้วก็ไม่เคยมีใครเคยสังเกตเราเลย เพราะว่าเราเรียนเก่ง เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างดี โดยไม่มีปัญหา แล้วเราก็แกะเล็บหนักมาก จนเป็นแผล จนมันไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว”
ทางด้าน มิลเลอร์ เครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ เพื่อความเท่าเทียม (TransEqual) ผู้ที่บอกว่า ตนเองมีอาการสมาธิสั้น ก็เล่าว่า เธอได้รับการทำร้ายทางจิตใจจากทางครอบครัวมาโดยตลอด ขณะที่เธอก็พยายามที่จะปรับตนเองในด้านการเรียน และการใช้ชีวิต ให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งก็ทำให้เธอตกอยู่ในภาวะเครียด-กังวล
“เราวิตกกังวลมาก มีช่วงหนึ่งเรากัดเล็บจนแบบกุด แล้วก็มีช่วงหนึ่งที่ถอนผมด้านหน้าจนแหว่งไปหมดเลย” มิลเลอร์ บอกเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ
ไม่เหมือนใคร ไม่ได้แปลว่า เอ๋อ
ริดดี้ เล่าว่า ตนเองมีประสบการณ์เป็นโรคสมาธิสั้น หรือ ADHD ตั้งแต่อายุ 15-16 ปี โดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ จนกระทั่ง อาการดั่งกล่าวนี้ ส่งผลให้ต่อสุขภาพจิต ทางผู้ปกครองจึงพาเขาไปพบแพทย์
“คือตั้งแต่เด็ก เราก็มีอาการสมาธิสั้น (หรือ ADHD) มาตั้งนานแล้ว แต่พ่อแม่ก็จะบอกว่า ก็เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะบอกว่า เป็น ADHD 100% แต่ที่พาไปหาหมอ ไม่ได้เป็นเพราะ ADHD แต่เป็นเพราะ depression คือสิ่งที่ต้องไปหาหมอ เพราะเขาไม่ได้มองว่า ADHD มันเป็นสิ่งที่ไปหาหมอ หรือเป็นสิ่งที่ต้องรักษา เพราะเรา function ได้ เราเรียนหนังสือได้ เราเข้ากับคนได้ในระดับหนึ่ง แต่มันก็จะมีความยากลำบากบางอย่าง ในการเข้าถึง หรือเข้าใจ หรือ process อะไรสักอย่างบางที” ริดดี้ กล่าว

ริดดี้ กลุ่ม Young Pride Club Young Pride Foundation
ริดดี้ เล่าเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มคนที่มีอาการออทิสติก และสมาธิสั้นบางคน ต้องการใช้ชีวิตในสังคมให้เป็นปกติเช่นเดียวกับคนอื่น ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องปกปิดอาการของตนเอง ท่ามกลางความอึดอัดไม่สบายใจ ซึ่งก็ทำให้คนทั่วไปรับรู้และเข้าใจว่า กลุ่มคนที่มีอาการที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา เนื่องจากพวกเขาสามารถเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับบุคคลอื่นได้
“คุณก็เรียนหนังสือได้ คุณก็เข้าสังคมได้ ลูกฉันปกติ ไม่ได้เป็นสมาธิสั้น เพราะสมาธิสั้น เขาจะมอง คือใช้คำว่าเป็น เอ๋อ ก็คือเป็นคำเหยียดอย่างหนึ่งใช่ไหม แต่คือ neurodivergent ของทั้งออทิสติกและสมาธิสั้น มันจะมี spectrum ของมัน ไม่ใช่ว่า ถ้าเป็นออทิสติก จะเป็นแบบนี้เป๊ะๆ หรือ ADHD ก็จะเป็นแบบนี้เป๊ะๆ” ริดดี้ อธิบายถึงความแตกต่างถึงอาการออทิสติกและสมาธิสั้นของแต่ละคน
ยากจะอธิบาย สู่ความเข้าใจผิดทางความสัมพันธ์
ริดดี้ เล่าประสบการณ์ การพูดคุยกับเพื่อน ที่เป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางระบบประสาทเช่นเดียวกัน พบว่า “บางคนเขาไม่สามารถไปต่อกับแฟน หรือว่าคู่ชีวิตของเขาได้ เพราะว่า กระบวนการในการคิด (thought process) มันแตกต่างกัน แล้วพอเขาอธิบาย เขาไม่ได้พยายามที่จะสู้ หรือจะหาเรื่องเพิ่ม แต่เป็นการที่เขาบอกเหตุผลว่า ทำไมเขาคิดแบบนั้น แต่แฟนกลายเป็นคิดว่า เราไปขุดเขา ไปหาเรื่องเพิ่ม” ริดดี้ คุยกับเพื่อน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางด้านของ บิ้ว ก็ได้แลกเปลี่ยนว่า ในบางครั้ง เธอมีความรู้สึกเหนื่อยล้าทางร่างกาย และไม่ต้องการสื่อสารความรู้สึกของตนเองต่อ ณ เวลานั้น ส่งผลให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างเธอและแฟน
“บางช่วงที่ เราไม่อยากพูด ไม่อยากขยับปาก มันอาจจะเกิดขึ้นระหว่างบทสนทนา แล้วอาการไม่อยากขยับปาก มันไม่ใช่คำที่จะเอาไว้ใช้บอกว่า เหนื่อยที่จะพูดแล้ว แต่คือมันเหนื่อยทางด้านร่างกายจริงๆ ไม่ใช่แค่การเหนื่อยจากอารมณ์ เราก็จะบอกเพื่อนว่า ไม่อยากพูดแล้ว แล้วเพื่อนก็จะตีความว่า อ๋อ เรื่องที่เราคุยกัน มันไร้สาระมากเลยสินะ” บิ้ว แบ่งปันประสบการณ์
บิ้ว เล่าอีกว่า “เราเป็นคนปกปิดความรู้สึก/ความต้องการเก่ง เข้าสังคมได้ คนรอบตัวจะไม่ค่อยมีปัญหากับเรามาก แต่เราจะรู้สึกผิดที่ทำไมเราแสดงออกแบบนี้ แล้วเราก็จะมีอาการ over stimming จากการสัมผัส แสง เสียง แล้วก็สัมผัสหนักมาก แต่ถ้าคนเป็นแฟน เขาก็อยากจะกอด จับ สัมผัส เพื่อแสดงความรัก แต่เราจะรู้สึกว่า อย่ามาจับเรา เรารู้สึกว่ามันเกินที่ร่างกายเราจะรับสิ่งกระตุ้นนั้นไหว ซึ่งเมื่อเราบอกไป เขาก็จะน้อยใจ และบอกว่า ไม่รักกันแล้วเหรอ”
ริดดี้ กล่าวปิดท้ายว่า เขาก็เคยรับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนเองพบเจอมาว่า “หลายครั้งเราแสดงออกกับคนรอบข้างไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ในภายหลังเราก็อยากขอโทษ คือเราก็ไม่อยากที่จะรู้สึกผิดที่จะเป็นตัวเอง แต่เราก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมในส่วนหนึ่ง”
______________
เบิกบานเฟส ร่วมกับเครือข่าย เวทีเสวนาเรื่อง “นิวโรไดเวอร์เจ้น: ไม่ได้บ้า แต่กล้าแตกต่าง” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงของกลุ่มเยาวชนที่มีความหลากหลายทางระบบประสาท (nuerodivergent) ซึ่งยังไม่ได้ถูกรับรู้และเข้าใจมากนักในสังคมไทย
งานเสวนานี้ เป็นส่วนหนึ่งของงาน “เบิกบานเฟส 2025 : ฟื้นพลังงานความสัมพันธ์” จัดขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ระหว่างเวลา 09.30-20.00น. ณ เรือนร้อยฉนำ เจริญนคร ภายในงานยังมีกิจกรรมเวิร์กชอปหลายหัวข้อ เช่น Inner Child, Drag Queen Love, Safe Abortion, Intersex Rights, การจัดดอกไม้โคริงกะ และการปั้นดิน
Comments