ผู้คนในชุมชนแห่งการดูแล จะอยู่ดี เบิกบาน ตายอย่างมีศักดิ์ศรีอย่างไร?
- Jitwiwat
- 5 days ago
- 2 min read
Updated: 3 days ago

คำอธิบายภาพ: เวทีเสวนาเรื่อง “เราจะอยู่ดี เบิกบาน ตายอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงาน การสร้างสังคมและชุมชน ที่สนับสนุนและเยียวยากันและกัน จัดโดยชุมชนกรุณา เบิกบานเฟส ร่วมกับเครือข่าย ในวันที่ 4 ตุลาคม 2568
ปัจจุบัน กลุ่มคนในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนข้ามเพศ กำลังประสบปัญหาทางสังคม-เศรษฐกิจ ในบริบทและรูปแบบที่แตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่การเกิดขึ้นของชุมชนแห่งการรับฟังและดูแลกันทางจิตใจ ขณะเดียวกัน การทำหน้าที่รับฟังของผู้ดูแล ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ก็มีส่วนทำให้ผู้ดูแล จำเป็นต้องแบกรับภาระทางความรู้สึก และบ่อยครั้ง การรับบทบาทเป็นผู้ดูแล กลับทำให้พวกเขากลุ่มนี้ หลงลืมที่จะดูแลตัวเอง
ชุมชนกรุณา เบิกบานเฟส และเครือข่าย จึงร่วมจัดเสวนา เรื่อง “เราจะอยู่ดี เบิกบาน ตายอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร” เพื่อเปิดพื้นที่ให้บุคคลที่ทำหน้าที่รับฟังและดูแลจิตใจผู้อื่น ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ความทุกข์-สุข รวมถึงวิธีการในการรักษาและเยียวยาตนเอง ในฐานะผู้ดูแล ตลอดจนการตั้งคำถามที่ว่า เราจะดูแลกันและกันแบบไหน? และอย่างไร? ที่จะทำให้ชีวิตของผู้รับการดูแล และผู้ดูแล อยู่ดี เบิกบาน ตายอย่างมีศักดิ์ศรี
ศิลปะบำบัด
ผศ. โสภา อ่อนโอภาส นายกสมาคมนักศิลปะบำบัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา บุคลากรทางการแพทย์มีหน้าที่ในการดูแลผู้อื่น และมีภาระงานค่อนข้างมาก ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลตนเอง และถึงแม้ว่า ทางสมาคมฯ จะพยายามเข้าไปจัดกิจกรรม เกี่ยวกับการดูแลตนเองให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ แต่กลับถูกมองว่า ไม่จำเป็นนัก เพราะความเชื่อที่ว่าคนกลุ่มนี้สามารถดูแลผู้อื่นได้ พวกเขาก็น่าจะดูแลตนเองได้
ขณะเดียวกัน ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ผู้ดูแล โดยที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพดูแลโดยตรง บางครั้งพวกเขามีความรู้สึกกังวล กดดัน และขาดความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ อันนำมาสู่ภาวะหมดไฟและเหนื่อยล้าจากการทำงาน

ผศ. โสภา อ่อนโอภาส นายกสมาคมนักศิลปะบำบัด
ผศ. โสภา กล่าวอีกว่า การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต และไม่อยากให้พวกเราทุกคนทุ่มเทเวลาไปกับการทำงานจนหลงลืมการดูแลตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานพยายามหาทางออกว่า เราจะสามารถดูแลตนเองไปพร้อมกับการดูแลคนอื่นได้อย่างไร? และหนึ่งในคำตอบ นั้นคืออาศัยการฟัง ศิลปะ และการดำรงอยู่กับธรรมชาติ
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น การนำใบไม้ ดอกไม้ มาวางเรียงกัน เพื่อถ่ายรูป 3 ช๊อต โดยช็อตแรกเกิดจาการจัดวางในแบบที่เราต้องการ จากนั้น ช๊อตที่ 2 ก็นำบางองค์ประกอบเข้ามา และนำออกไปในช๊อตสุดท้าย เพื่อทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนมุมมอง เกิดพื้นที่ที่ทำให้เราได้เรียนรู้จักตนเอง เชื่อมโยงตัวเราเข้ากับธรรมชาติผ่านการทำงานศิลปะ
เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
“ตัวเองก็เป็นหนึ่งคนที่ป่วย ตอนป่วยไม่เคยบอกใครเลย ไม่เคยแสดงความอ่อนแอ เพราะว่าตัวเองเป็นผู้ดูแล เก็บไว้ในใจ แล้วคือเราไม่ไหว เราอ่อนแอ เราจะตายแล้ว แต่พูดกับใครไม่ได้ จนต้องเอากลับไปคิดว่า ในเมื่อเราดูแลคนอื่นได้ แล้วทำไมเราไม่กลับมาดูแลตัวเอง”
กุสุมา จันทร์มูล เครือข่ายสุขภาพและโอกาส (Health and Opportunity Network) หรือ HON ฺBKK เล่าว่า เธอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล รับฟังเรื่องราวความทุกข์-สุข ของเพื่อนๆ นักกิจกรรมอยู่เสมอ และบ่อยครั้ง เธอก็ได้มีความรู้สึกและประสบการณ์ร่วมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ขณะที่เธอเองก็มีปัญหาส่วนตัวด้านสุขภาพ แต่เธอกลับไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะไม่อยากให้คนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอรู้สึกกังวลใจ
“หลายครั้งที่เราเป็นผู้ดูแล เราเฝ้าสังเกตเพื่อนๆ นักกิจกรรมพบว่าหลายครั้งที่นักกิจกรรมออกไปทำงานเพื่อดูแลคนอื่น แต่เราไม่เคยหันกลับมาดูแลตัวเองเลย ไม่เคยบอกตัวเองว่า ตัวเองแย่แค่ไหน ไม่เคยถามตัวเองว่า ตัวเองเจ็บป่วยแค่ไหน และหลายๆ ครั้ง การเป็นผู้แล อยากจะบอกว่าตัวเองเจ็บป่วย ตัวเองไม่มีเงิน ตัวเองจนมาก แต่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าคนที่เข้ามาให้เราดูแล จะไม่นับถือเรา จะไม่เชื่อถือเรา เราไม่สามารถให้คำปรึกษาเขาได้” กุสุมา กล่าว
ปัจจุบัน กุสุมา ปรับเปลี่ยนมุมคิด ด้วยการหันมาให้เวลากับการดูแลตัวเองมากขึ้น และกล้าที่ขอความช่วยเหลือ และบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์-สุขของตัวเอง ให้แก่เพื่อนและคนรอบข้างได้รับรู้ ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำ และเธอได้นำไปปรับใช้ในแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง

กุสุมา จันทร์มูล เครือข่ายสุขภาพและโอกาส หรือ HON BKK
“เคยต้องกินยา แต่นอนทั้งวัน ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องเปลี่ยนใหม่ กลับมาปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ร้อยลูกปัด ระบายสี สิ่งเหล่านี้ มันช่วยเราได้มาก เพราะนอกจากเราได้ร้อยลูกปัดแล้ว เรายังสามารถสร้างรายได้ได้ด้วย ได้เยียวยาจิตใจตัวเองแล้วยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยเนาะ”
นอกจากนี้ กุสุมา ยังเล่าว่า ทางเครือข่ายสุขภาพและโอกาส ได้เปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนที่มีปัญหาในชีวิต เช่น กลุ่ม LBTQ ได้มีโอกาสมาบอกเล่าความทุกข์-สุขของตัวเองว่า ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างและต้องการความช่วยเหลืออะไร รวมถึงการสั่งเสียว่า ถ้าวันหนึ่งจากไป จะทำอย่างไรให้กับสิทธิประโยชน์ที่เขามีให้กับครอบครัว
บอกเล่า-รับฟัง
อาทิตยา อาษา ผู้จัดการองค์กร เครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ เพื่อความเท่าเทียม (TransEqual) กล่าวว่า ผู้ชายข้ามเพศมีความเปราะบางในเรื่องของการหางาน นำมาสู่ปัญหาทางการเงิน ซึ่งไม่ง่ายที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้ง ผู้ชายข้ามเพศยังถูกคาดหวังจากครอบครัวและสังคมรอบข้างว่า พวกเขาจะต้องทำงานและมีรายได้เพียงพอ ในการเลี้ยงดูและเป็นหัวหน้าครอบครัว

อาทิตยา อาษา ผู้จัดการองค์กร เครือข่าย TransEqual
“มีเพื่อนบางคนถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน แต่เขารักงานนี้เหลือเกิน โจทย์ของเขาคือ อยากจะอยู่กับงานนี้ พิสูจน์ตัวเอง แต่มันก็เจ็บป่วย แปลว่าอะไร เพื่อนเราต้องการการปรึกษาแบบครั้งคราว วันนี้เดินเข้ามาคุย วันนี้อยากกินข้าว” อาทิตยา แบ่งปันประสบการณ์ที่พบ ขณะพัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อการดูแลกันและกัน
อาทิตยา เล่าว่า หลายครั้งที่เครือข่าย TransEqual จัดกิจกรรมวงกินข้าว ไม่ใช่เพื่อความสนุกเท่านั้น แต่การจัดแต่ละครั้ง มีเงื่อนไขในการจัดและการรวมตัวกัน ซึ่งเครือข่ายฯ ก็พบว่า เพื่อนแต่ละคนมีปัญหาในชีวิต ที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยาในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น บางคนพูดคุยกันครั้งเดียวก็เพียงพอ แต่บางคนต้องพูดคุยเพิ่มทางโทรศัพท์ และบางคนมีปัญหาทางเศรษฐกิจ
“เราไม่ได้ดูแลกันในเชิงปัจเจก แต่เรามองว่าเพื่อนเราเป็นหนึ่งในองค์คาพยบในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและขยับ อย่างแรกเขาต้องรู้ก่อนว่าเขาเจอปัญหาอะไร และเมื่อเขารู้ เขาโต เขาแข็งแรง เขาจะขยับเข้ามา อันนี้ก็เป็นสถานการณ์สำคัญที่เราเจอระหว่างทาง” อาทิตยา บอกเล่าถึงความตั้งใจของเขา
ขณะเดียวกัน อาทิตยา และเครือข่ายฯ ก็พบว่า เราไม่สามารถดูแลเพื่อนบางคนได้ และจำเป็นต้องส่งเพื่อนต่อไปยังนักบำบัด หรือองค์กรอื่นๆ ที่เป็นเครือข่ายการทำงานร่วมกัน เช่น เบิกบานเฟส ชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี ซึ่งแต่ละองค์กรก็มีวิธีการดูแลเพื่อนๆ ขึ้นกับอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งทางเศรษฐกิจ และช่วงอายุ
“หน้าที่ของเราก็คือ การหาเพื่อนที่มีระบบสนับสนุนเหมือนกับเรา คือเราทำทุกอย่างเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราจะตาย เพราะคนที่ทำหน้าที่ในการดูแล สิ่งที่สำคัญ หลายครั้งเราต้องมีระบบในการ reboot ตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักอยู่เสมอ” อาทิตยา เล่าถึงความสำคัญที่ผู้ดูแล ควรเห็นความสำคัญในการดูแลตนเอง
อาทิตยา บอกว่า เครือข่าย TransEqual ได้นำระบบสนับสนุนการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชนที่ชื่อว่า ธนาคารเวลาของ สสส. มาปรับใช้ให้เข้ากับกลุ่มอัตลักษณ์ของตัวเอง เช่น การพาเพื่อนไปหาหมอ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เพื่อนได้ใช้เวลาที่พวกเขามีเป็นทุนในการดูแลและพัฒนาศักยภาพตนเอง
ประสานเครือข่ายการดูแล
เอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์ ผู้ดูแลโครงการเบิกบานเฟส เล่าว่า เมื่อเปิดใจรับฟังผู้อื่น ทำให้เรามองเห็นความงดงาม แต่ในขณะเดียวกัน การเปิดใจเรียนรู้ในเรื่องใดๆ ก็ทำให้พบว่า ยังมีเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้และทำความเข้าใจอีกมาก เช่น องค์ความรู้เรื่องมิติเพศ และการเป็นคนชายขอบ ซึ่งหลายๆ ครั้ง เราจำเป็นต้องทบทวนประสบการณ์ในชีวิตของตัวเอง และฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเพื่อน ไปพร้อมกับการทำงานดูแลตัวเอง และคนอื่น
“ตัวเรา ภายนอกดูเป็นผู้ชายมาก แต่ว่าข้างในเราให้คุณค่าแบบผู้หญิง เราชอบการดูแล เราชอบความนุ่มนวล แต่ในขณะเดียวกัน เรามีความขัดแย้งในตัวเอง เรามีลักษณะโวยวาย เมื่อคนไม่ฟัง เรามีความก้าวร้าว เราอ่อนแอไม่ได้ ฉะนั้น จากการที่ถูกหล่อหลอมมาจากสังคม บางครั้งเราไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า ข้างนอกเราเป็นแบบหนึ่ง ข้างในเราเป็นแบบหนึ่ง” เอกวัฒน์ ตั้งคำถามจากการสำรวจตัวเอง
เอกวัฒน์ เล่าว่า จากการพูดคุยและทำงานร่วมกับนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางสังคม-การเมืองจำนวนหนึ่ง ทำให้เขาพบว่า LGBT นักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ และผู้หญิง ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย ที่จะคุยกันอย่างจริงใจ เพราะไม่มีความมั่นคงจากภายใน ส่งผลให้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาเลือกที่จะอยู่กับตัวเอง และเกิดการกระทบกระทั่งเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น

เอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์ ผู้ดูแลโครงการเบิกบานเฟส
เอกวัฒน์ กล่าวอีกว่า การเยียวยา เป็นสิ่งที่ต้องมาควบคู่กับการเรียนรู้และเติบโต โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจตนเองและสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ ปรัชญาเชิงพุทธและธรรมชาติ อันนำไปสู่การสร้างชุมชนที่เบิกบานต่อกัน ไม่ทำร้ายกัน อยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง และเป็นตัวของตัวเอง
“การสร้างพื้นที่ในการอยู่ร่วมกัน ถึงจะใช้ความรู้แยกส่วน แต่ในตัวชุมชนแล้ว ถ้ามองบนพื้นฐานของประเทศไทย เรามีความเกื้อกูล และไม่ได้แยกส่วนแบบนั้น มีความกลมกล่อมและหลากหลายในตัวของมันเอง แต่เราจะรักษาคุณค่าบางอย่างที่ดีอยู่แล้วไว้อย่างไร แต่อะไรที่สร้างทางเลือกให้คนมากขึ้น เราจะใช้ความสร้างสรรค์อย่างไร ให้มันเติบโตต่อไปได้” เอกวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
อยู่ดี สู่การตายดี
วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death และผู้ดูแลโครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี กล่าวถึงคนที่จะตายดีได้ว่า คนกลุ่มนี้จะต้องอยู่ดีก่อนที่จะตายดีได้ ดังนั้น ทางกลุ่มฯ จึงสนใจว่า เราจะสามารถดูแลคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมให้อยู่ดีได้อย่างไร?
วรรณา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กลุ่ม LGBTQ ก็เป็นอีกกลุ่มที่เข้าไปค่อยถึงการดูแลสุขภาพในช่วงท้ายของชีวิต และที่เรารู้กันอยู่ว่าไม่ใช่แค่กลุ่มพวกเราที่เข้าไม่ถึง แต่คนจำนวนมากก็เข้าไม่ถึง เพราะอาจจะไม่รู้ว่า ในสังคมมีการดูแลแบบประคับประคองซึ่งจะช่วยให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าเขาจะเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะออกแบบ หรือสั่งเสียเอาไว้ก่อนว่า เราอยากได้รับการดูแลแบบไหน”
วรรณา เสนอว่า ระบบสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ จะต้องตั้งบนฐานที่ว่า เราทุกคนต่างก็เป็นคนคนหนึ่ง ที่ต้องการการดูแล ไม่ว่าแต่ละคนจะนิยามตัวเองว่าเป็นเพศใด พวกเขามีสิทธิที่จะได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ เพราะที่ผ่านมา กลุ่ม LGBTQ จำนวนหนึ่ง ไม่ได้รับการดูแลอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะพวกเขามีเพศสภาพที่ไม่ได้เป็นชายหรือหญิงตามที่สังคมรับรู้หรือยอมรับ
วรรณา ก็ยังเสนออีกว่า กลุ่ม LGBTQ และเครือข่ายที่เคลื่อนไหวในประเด็นนี้ ก็จะต้องอธิบายให้ได้ว่า พวกเราต่างจากคนอื่นอย่างไร และเราต้องการอะไร บนฐานความคิดที่ว่า เราทุกคนคู่ควรที่จะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น เพื่อให้คนในสังคมเข้าใจและตระหนักว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่ม LGBTQ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะพวกเขาไม่ใช่แต่เพียงคนข้ามเพศ แต่ยังเป็นสมาชิกของสังคม ในฐานะพ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง หัวหน้า และลูกน้อง

วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death
วรรณา เน้นย้ำว่า การมีชุมชนช่วยเหลือดูแลกัน เช่นที่เครือข่ายสุขภาพและโอกาส และเครือข่าย TransEqual ดำเนินการอยู่นั้น เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการที่กลุ่มคนข้ามเพศ จะมั่นใจและไว้ใจในการบอกความต้องการของตัวเองได้ พวกเขาจะต้องมีความรู้สึกไว้ใจและปลอดภัย และชุมชนที่สนับสนุนกันในลักษณะนี้ จะทำให้พวกเขากล้าที่จะยอมรับตัวเองมากขึ้น
เธอกล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีกลุ่มคนข้ามเพศจำนวนมาก เข้าไม่ถึงหน่วยบริการสาธารณสุขในโรงพยาบาล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขายังรู้สึกกังวลกับการถูกตัดสิน เช่น การกรอกแบบฟอร์มระบุเพศชาย-หญิง หรือการเข้ารับการรักษาในฐานะผู้ป่วยในวอร์ดชาย-หญิง ตามมาตราฐานของสังคม ส่งผลให้คนข้ามเพศจำนวนหนึ่ง ตัดสินใจไม่เข้ารับการบริการ
___________
เบิกบานเฟส ร่วมกับเครือข่าย จัดงานเสวนาเรื่อง “เราจะอยู่ดี เบิกบาน ตายอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร” ผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ วิธีคิด มุมมองของผู้ทำงานขบวนการเคลื่อนไหวสู่การสร้างระบบดูแลกันแบบชุมชนที่หลากหลาย เพื่อนำไปสู่การปรับใช้ ทำงาน ดูแล และก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อให้เกิดพื้นที่สุขภาวะ พลัง และความสงบสันติจากภายใน
งานเสวนานี้ เป็นส่วนหนึ่งของงาน “เบิกบานเฟส 2025 : ฟื้นพลังงานความสัมพันธ์” จัดขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ระหว่างเวลา 09.30-20.00น. ณ เรือนร้อยฉนำ เจริญนคร ภายในงานยังมีกิจกรรมเวิร์กชอปหลายหัวข้อ เช่น Inner Child, Drag Queen Love, Safe Abortion, Intersex Rights, การจัดดอกไม้โคริงกะ และการปั้นดิน
Comments