T3-9 | เล่าชีวิต “เพชรหรือก้อนหิน: จิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ”
- Jitwiwat
- Apr 9
- 4 min read
Updated: Aug 23
1 มี.ค. 68 15:30-17:30 น. เดอะ มิตร-ติ้ง รูม (The Mitr-ting room) ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ: ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, และ กลุ่มคนทำงานสังคมเพื่อจิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ
ดำเนินรายการ: ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และ มัลลิกา ตั้งสงบ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์
เวทีเล่าชีวิต เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ ได้แก่ กลุ่มผู้พิการ อดีตผู้ต้องขัง กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ผู้หญิงที่เคยทำแท้ง ผู้ป่วยจิตเวช
มาร่วมรู้สึก เข้าใจมุมมอง วิธีคิด วิธีการเผชิญเรื่องราวและปัญหาที่เป็นสามัญของมนุษย์ แต่กลับถูกเบียดขับและกดทับไว้ให้อยู่ในเงามืด การก้าวผ่านและพัฒนาตนเองบนหนทางจิตวิญญาณ การเชื่อมั่นในศักยภาพความเป็นมนุษย์ อันนำมาซึ่งความรัก ศรัทธา และความหวัง ร่วมกันสร้างโอกาสให้เกิดสังคมที่เท่าเทียม พร้อมร่วมทั้งทุกข์และสุขโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สรุปใจความสำคัญ
เปิดพื้นที่การนำเสนอเรื่องเล่าชีวิตของกลุ่มคนชายขอบในพื้นที่ทางสังคม ทั้งอดีตผู้ต้องขัง กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ผู้หญิงที่เคยทำแท้ง ผู้ป่วยจิตเวช และคนพม่าสัญชาติไทย ที่ทำให้ได้เข้าใจมุมมอง วิธีคิด การเผชิญเรื่องราวความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในสังคม และการก้าวผ่านด้วยการพัฒนาตนเองในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนาบนหนทางแห่งจิตวิญญาณ
มุมมองความคิด อคติที่เกิดขึ้นในใจ และการตีตราตัดสินผู้ที่ถูกเรียกว่าคนชายขอบ ทั้งอดีตผู้ต้องขัง จากโครงการใจสู่ใจ คุณค่า ความสุข และพลังภายในที่แท้จริงเพื่อชีวิตหลังกำแพง 3 คน, กลุ่มเพศหลากหลายจาก LBT Well Being และเครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่เพื่อความเท่าเทียม 2 คน, ผู้หญิงที่เคยทำแท้ง จากกลุ่มทำทาง 1 คน, ผู้ป่วยจิตเวช จากสมาคมสายใยครอบครัว 1 คน และคนพม่าสัญชาติไทย จากเสมสิกขาลัยเอเชีย 1 คน ทำให้ประสบความทุกข์ทางใจและเผชิญความยากลำบากในการดำเนินชีวิต แต่ละเสียงที่มาบอกเล่าจะค่อยๆ สร้างการรับรู้ มองเห็น และยอมรับความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมที่แตกต่างหลากหลายได้
เริ่มต้นกิจกรรมด้วยกระบวนกรแนะนำเจ้าของเรื่องแต่ละคน และเกริ่นถึงเวิร์กชอปที่ได้ทำเตรียมความพร้อมก่อนหน้างานนี้ โดยมีกระบวนการละครเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอเรื่องราวออกมา
- ทั้งแปดคนแบ่งปันการเดินทางของชีวิต ในรูปแบบของการเล่าเรื่อง เป็นประโยคสั้นๆ ทีละคน สลับกัน โดยมีบทพูดสั้นๆ เกี่ยวข้องกับความทุกข์ ความยากลำบาก ความกดดัน หรือปมในอดีต ผ่านช่วงอายุต่างๆ ไล่เรียง
ตั้งแต่วัยเด็กถึงปัจจุบัน คลอไปกับเสียงดนตรีเบาๆ ช่วยสร้างบรรยากาศ
- จากนั้นนำเข้าสู่การเล่าเรื่อง อ่านความเรียงชีวิตของตนเอง โดยออกมายืนกันทีละคู่ ใช้เวลาคนละประมาณ 5 นาที อ่านจนครบ 8 คน ตอนจบมีการบรรเลงบทเพลงเพชรและก้อนหิน
- กระบวนกรเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมได้สะท้อนความรู้สึก แสดงความคิดเห็น และให้กำลังใจแก่เจ้าของเรื่องราวเหล่านั้น ตลอดระยะเวลาการนำเสนอเป็นช่วงเวลาแห่งการรับฟัง เสียงที่ไม่เคยถูกได้ยิน บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ปลอดภัย ไว้วางใจต่อกัน
คุณค่าและความงดงามที่เกิดขึ้นจากงานนี้ ทั้งจากเจ้าของเรื่องราว ผู้เข้าร่วม และเจ้าภาพงาน ได้แก่
กลุ่มคนชายขอบเหล่านี้ จากที่เคยโดนเบียดขับ ตีตรา ตัดสิน กดทับ แบ่งแยกทำให้แตกต่าง ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้ชีวิตดั่งการเจียระไนเพชรทุกแง่มุม และทำกิจกรรมเล่าเส้นทางชีวิต ทำให้แต่ละคนเกิดการตระหนักรู้ในตนเอง มองเห็นคุณค่าและฟื้นฟูอำนาจภายใน เกิดความรัก ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น สามารถตั้งต้นชีวิตใหม่ได้
การเปิดใจถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตและแบ่งปันประสบการณ์ทั้งด้านมืดและสว่างของเจ้าของเรื่องซึ่งเป็นคนชายขอบ ทำให้ยิ่งมองเห็นคุณค่าและศักยภาพในตนเอง ประกอบกับได้รับการหยิบยื่นโอกาส งานนี้จึงเป็นการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น สร้างความเข้าใจและส่งต่อสิ่งดีงามต่อไป พร้อมกับการตระหนักรู้ภายในตนเอง เพื่อสร้างสันติภาวะกับโลกภายนอกและโลกภายในตนเอง
ขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมเกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจถึงความทุกข์ยากลำบาก เปิดใจยอมรับความแตกต่างหลากหลาย รับฟังโดยไม่ตัดสิน ลดอคติในใจและมีมุมมองการรับรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป หลายคนได้สื่อสารด้วยคำพูดขอบคุณ ชื่นชม ให้กำลังใจ บางคนสื่อสารเป็นความรู้สึกผ่านภาษากายเช่นหยาดน้ำตา แสดงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ซาบซึ้ง เคารพความเป็นมนุษย์และเห็นคุณค่าความดีงามที่อยู่ภายใน ทำให้มีความหวังต่อการใช้ชีวิต ทั้งยังเกิดแรงบันดาลใจ อยากนำเรื่องที่ได้รับรู้รับฟังนี้ไปบอกเล่ายังคนอื่นๆ
ทุกคนผ่านอะไรมาเยอะ อย่างเข้มแข็ง ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ
ห้องแอร์สำหรับคุณ อากาศเสียสำหรับผม... สลัมสำหรับคุณ ตึกรางสำหรับผม...
น้ำตาสำหรับคุณ รอยยิ้มสำหรับผม
ทั้งหมดนี้คุณคงจะพอใจ ที่เราได้แบ่งสรรกันยุติธรรม สังคมแบ่งชั้นชี้นำ ให้ผมรวย และคุณจนเรื่อยไป
ก้อนหินสำหรับคุณ เพชรงามสำหรับผม
...
ก้อนหินสำหรับคุณ ก้อนหินสำหรับผม, เพชรงามสำหรับคุณ เพชรงามสำหรับผม
(จากบทเพลงเพชรหรือก้อนหิน)
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
เรื่องเล่าชีวิต “เพชร หรือ ก้อนหิน : จิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นคนชายขอบ”
กลุ่มคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบของสังคม คือกลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาส สิทธิและความเป็นธรรม ในแง่หนึ่งแง่ใดที่มาจากความเป็นตัวตน อัตลักษณ์ ถิ่นฐาน วัฒนธรรม หรือสถานทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เช่น กลุ่มผู้พิการ ผู้ต้องขังหรืออดีตผู้ต้องขัง กลุ่มคนไร้บ้าน หรือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้ ถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่แปลกแยกจากสังคม และมักถูกตีตราจากคนในสังคมในแง่ใดแง่หนึ่ง ทั้งที่จริงๆ แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้มีคุณค่าความเป็นมนุษย์ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น และมีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะการพัฒนาด้านจิตวิญญาณหรือการพัฒนามิติภายใน ที่สามารถพัฒนาให้เติบโตงอกงามได้ในตัวของตนเอง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในสถานะทางสังคมรูปแบบใด
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนามิติภายในหรือการพัฒนาทางจิตวิญญาณล้วนเชื่อมโยงกับบริบททางสังคม และความเข้าใจของคนในสังคมที่พร้อมเปิดรับและเปิดโอกาสให้แก่กลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อจะได้ไม่ถูกทำให้เป็นชายขอบ เนื่องด้วยการเปิดรับและเปิดโอกาสเป็นต้นทุนที่สำคัญให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้มีโอกาสในการเติบโตในชีวิตทุกด้าน ทั้งการทำงาน เศรษฐกิจ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ตลอดจนการได้รับความเป็นธรรมในด้านอื่นๆ และเข้าถึงการบริการพื้นฐานที่ควรจะได้รับ แต่ค่านิยมของสังคมในปัจจุบันกลับมีอคติต่อกลุ่มคนเหล่านี้ในรูปแบบต่างๆ กัน และมีมุมมองต่อกลุ่มคนเหล่านี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจากวาทกรรม คำบอกเล่าของคนจากรุ่นสู่รุ่น ตลอดจนอิทธิพลของสื่อที่ทำให้ความเข้าใจในกลุ่มคนเหล่านี้ถูกบิดเบือนและทำให้คนในสังคมมีวิธีคิดที่ไม่เปิดรับ กีดกัน และทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลายเป็นคนชายขอบในที่สุด ซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ยากลำบาก การขาดโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาจิตวิญญาณภายในของกลุ่มคนเหล่านี้ในที่สุด
เวทีเรื่องเล่าชีวิต “เพชร หรือ ก้อนหิน : จิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นคนชายขอบ” จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้เสียงของกลุ่มนี้ ได้ถูกพูดถึงในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียม มนุษย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตงอกงามตามรูปแบบของตนไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะใด หรือมีข้อจำกัดใดๆ ในชีวิตก็ตาม ดังนั้น เวทีเรื่องเล่านี้จึงมีเป้าหมายเพื่อสื่อสารจิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ เพื่อให้คนในสังคมได้รับรู้และเกิดความเข้าใจ ในมุมมอง วิธีคิด การดำเนินชีวิตของกลุ่มคนเหล่านี้ ผ่านเรื่องเล่า ประสบการณ์ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ที่นอกจากจะสร้างความเข้าใจให้ผู้ที่ได้รับฟังรับชมแล้ว ยังเป็นการเติมพลังแห่งชีวิตและจิตวิญญาณให้ผู้คนเกิดความหวังและศรัทธาในความเป็นมนุษย์ และเห็นโอกาสในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม สังคมที่พร้อมร่วมทั้งทุกข์และสุขโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“เพราะแต่ละคนคือเพชรเม็ดงามที่เต็มเปี่ยมด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ แต่กลับถูกโครงสร้างสังคมทำให้ต้องกลายเป็น ‘ชายขอบ’ ของสังคม”
การรวมตัวของ “คนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ” ในห้องย่อยนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันของอดีตผู้ต้องขัง จากโครงการใจสู่ใจ คุณค่า ความสุข และพลังภายในที่แท้จริงเพื่อชีวิตหลังกำแพง, กลุ่มเพศหลากหลาย จาก LBT Well Being และเครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่เพื่อความเท่าเทียม, ผู้หญิงที่เคยทำแท้ง จากมูลนิธิทำทาง, ผู้ป่วยโรคจิตเวช จากสมาคมสายใยครอบครัว, คนพม่าสัญชาติไทย จากเสมสิกขาลัยเอเชีย โดยมีอาจารย์ ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และอาจารย์ มัลลิกา ตั้งสงบ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเจ้าภาพห้องย่อย ซึ่งดำเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้ Workshop ที่นอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเวทีเรื่องเล่าชีวิตแล้ว ยังทำให้ผู้เข้าร่วมการเรียนรู้ทุกคน ได้เกิดการทบทวนตนเอง เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ได้รับการเยียวยาจากความเจ็บปวดในอดีต และมีชีวิตที่มั่นคงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เวทีเรื่องเล่าชีวิตจึงเปรียบเสมือนการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ พร้อม ๆ กับการเติบโตภายในของเจ้าของเรื่องและผู้ฟังอีกด้วย
อาจารย์ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม กล่าวในช่วงต้นของเวทีเรื่องเล่าชีวิตว่า “เวทีนี้เป็นการพูดถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับโอกาสหรือถูกกีดกันกีดกันให้ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสต่าง ๆ ที่ควรจะได้รับ รวมถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือความเท่าเทียมทางสังคม ในบางครั้งพวกเขาจึงถูกเรียกว่า ‘คนชายขอบ’ ของสังคม ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่คนชายขอบในแบบที่สังคมเรียกกัน เขาเป็นเพียง ‘คนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ’ จากการตัดสินและการประกอบสร้างของสังคม โดยเนื้อแท้ ไม่ว่าเขาหรือเรา ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันในศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวของคนทุกคน”
อาจารย์มัลลิกา ตั้งสงบ เล่าเสริมว่า “การมาอยู่ร่วมกันในวันนี้ เป็นวันที่พวกเราได้คืนเสียงให้กับเขา ให้เขาได้บอกเล่า ได้พูด ได้แบ่งปันออกมา ผ่านเส้นทางของชีวิตตนเอง แล้วเราจะได้รู้จักกันและกันมากขึ้นผ่านชีวิตของทุกคน ในกระบวนการเรียนรู้ที่เตรียมความพร้อมร่วมกันมา นอกจากจะได้รับฟังเสียงของทุกคนแล้ว ตัวผู้เล่าเองเขาก็ได้กลับไปสืบค้นตัวเอง เขียนทบทวนเรื่องราวของตนก่อนที่จะนำประสบการณ์เหล่านั้นมาแบ่งให้รับฟัง ซึ่งในกระบวนการนี้เป็นการช่วยเยียวยาตนเองไปด้วย”
บทสะท้อนเรื่องเล่าชีวิต “เพชร หรือ ก้อนหิน : จิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นคนชายขอบ”
เสียงจากอดีตผู้หญิงที่เคยทำแท้ง
“เมื่อพูดคำว่า ‘ทำแท้ง’ ภาพที่ขึ้นมาในใจคือแบบไหน? แท้จริงแล้วพวกเราก็มีหน้าตาเหมือนผู้หญิงทั่วไป เดินปะปนอยู่กับคนอื่นในสังคม การที่พวกเราตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์มันมีเหตุผลที่ต่างกันไป เราอาจจะได้ยินคำดูถูกต่างๆ นานา ต่อคนทำแท้ง แต่มีใครจะรู้ไหมว่าพวกเราเองก็ล้วนผ่านกระบวนการคุมกำเนิดมาทุกวิถีทาง แต่ไม่มีการคุมกำเนิดใดที่จะได้ผลร้อยเปอร์เซนต์ เราเชื่อว่าการตั้งครรภ์เป็นของขวัญไม่ใช่บทลงโทษ การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมก็เหมือนได้รับของขวัญในวันที่เราไม่พร้อมจะได้รับ แต่สังคมกำลังพยายามยัดเหยียดให้การตั้งครรภ์และการทำแท้งเป็น ‘บทลงโทษ’ ให้แก่ผู้หญิงคนหนึ่ง ให้มีตราบาปติดตัวไปชั่วชีวิต แทนที่จะให้โอกาสในการมีชีวิต โอกาสในการเลือกเส้นทางของตน เราอยากให้คนในที่นี้เผื่อพื้นที่ของหัวใจให้เคารพการทำแท้งอย่างปลอดภัย อยากขอให้ทุกคนในที่นี้สนับสนุนหรือเคารพทางเลือกของเธอ เราจะพูดเรื่องนี้ซ้ำๆ และเป็นเสียงให้คนท้องไม่พร้อมและตัดสินใจทำแท้งอีกมากมายในสังคม ให้เข้าถึงการทำแท้งที่ถูกกฎหมายและปลอดภัย ได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ”
เสียงจากอดีตผู้ต้องขัง (1)
“ทุกครั้งที่ยายเรียกชื่อฉันมักขึ้นต้นคำนำหน้าว่า ‘อี’ แต่เรียกหลานคนอื่นจะเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘น้อง’ เสมอ คำพูดดูถูกต่างๆ ตลอดชีวิตฉัน ทำให้ฉันเกลียด ‘ความจน’ ฉันอยากรวย ช่วงวัยรุ่นเลยนำพาให้ฉันรู้จักธุรกิจสีดำ ธุรกิจมืดนี้พาฉันร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ฉันเสกทุกอย่างได้ด้วยเงินของฉัน ฉันรู้สึกเพียงว่า ‘ต้องมีตัวตน’ ‘ฉันต้องเป็นคนสำคัญ’ ในทุกที่ที่ฉันไปฉันต้องได้รับการยอมรับและเห็นความสำคัญ แต่นั่นกลับไม่ใช่ชีวิตจริง ฉันถูกจับด้วยคดียาเสพติด ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงสูงด้วยความยากลำบาก ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นด้วยความห่างไกลคำว่าความสุขมากขึ้นไปทุกที จนได้มารู้จักโครงการใจสู่ใจฯ ฉันพบท่าทีเป็นมิตรของครูที่มองฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ก้าวพลาด ไม่ตัดสินฉัน นั่นเป็นครั้งแรกในเรือนจำที่มีคนมองและเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ใช้ชีวิตแบบมีพลัง มีเป้าหมาย เห็นคุณค่าและรักตัวเอง จนในวันนี้ฉันไม่อยากกลับไปค้ายาเสพติดอีกเลย ทุกวันนี้ ชีวิตฉันอาจจะไม่สุขสบายมีเงินทองใช้สิ้นเปลืองเท่าเดิม แต่ตอนนี้สิ่งที่ฉันใช้มันเปลืองมากคือคำว่า ‘ความสุข’ ฉันมอบคำนี้ให้ฉันมากขึ้นในปัจจุบันนี้
เสียงจากคนพม่าสัญชาติไทย
“ฉันชื่อ.... ไม่มีนามสกุล ฉันเติบโตมาเหมือนเด็กทั่วไป ฉันชื่นชมตนเองเสมอว่าผ่านมาได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว แต่มาวันหนึ่งตอนที่ฉันไปสมัครฝึกงาน เมื่อกรอกใบสมัครไป ฉันถูกถามว่า ‘ไม่ได้ใส่นามสกุลหรือเปล่า?’ ฉันตอบอย่างมั่นใจว่า ‘หนูเป็นคนพม่าไม่มีนามสกุล’ และแน่นอนฉันโดนปฏิเสธ ไม่ได้รับฝึกงาน ในเวลานั้นการได้นามสกุลหรือบัตรประชาชน เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราเรียนจบพร้อมเพื่อนได้ ฉันขอความช่วยเหลือจากทุกที่เพื่อให้ได้นามสกุล อ้อนวอน พูดวนๆ ซ้ำๆ ว่า ‘โปรดช่วยหนูด้วยหนูอยากเรียนจบพร้อมเพื่อน’ ผ่านความยากลำบากและความเจ็บปวดในช่วงเวลานั้นจนต้องเสียน้ำตาไม่รู้กี่ครั้ง ในที่สุดก็ได้สัญชาติไทยและนามสกุลมา ทำให้เรารู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่ต้องลำบากและไม่ได้รับโอกาสจากสิ่งนี้ เราเรียนจบมา เราจึงตั้งใจทำงานให้ความช่วยเหลือกับคนพม่ามาตลอด มาวันนี้จึงอยากขอบคุณตัวเองที่กล้าแบ่งปันเรื่องราวของตนเองในวันนี้ได้อย่างเข้มแข็ง”
เสียงจากอดีตผู้ต้องขัง (2)
“พ่อ แม่หายไปไหน? ... เป็นคำถามที่ผมถามพ่อเมื่อวันที่แม่จากไป พ่อตอบว่า ‘แม่ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์แล้วลูก’ วันที่ผมรู้ว่าแม่ผมเสีย ในความรู้สึกผมไม่ได้เสียแม่ไปคนเดียว ผมยังเสียพ่อไปด้วย ใช่ครับ พ่อผมไปมีเมียใหม่ ผมเติบโตขึ้นโดยไม่มีทั้งพ่อและแม่ จนเมื่อได้มาทำงานในเมืองกรุง จึงเกิดค่านิยมความคิดที่ว่าต้องรวย มีบ้าน มีรถ เพื่อให้พ่อได้ภูมิใจในตัวเราบ้าง แล้วด้วยเป้าหมายที่ใหญ่เกินตัว พร้อมความรู้ความสามารถอันน้อยนิด ผมเลยเลือกที่จะขายยาเพราะว่ามันสบายและได้เงินง่าย และแน่นอนจุดจบของการขายยาถ้าไม่ตายก็ติดคุก ผมยังไม่ตาย ... แต่ผมติดคุก ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำผมคิดตลอดว่าเมื่อออกไปก็คงขายยาเหมือนเดิม จวบจนสามปีก่อนพ้นโทษจากเรือนจำมีบางอย่างเปลี่ยนไป ผมเห็นภรรยาของผมที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำเหมือนกัน แต่เปลี่ยนไปจากเดิม จนมารู้ว่าเธอได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการใจสู่ใจฯ ทำให้เธอใจเย็นลง เข้าใจ รับฟังผมมากขึ้น ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมากเวลาได้เห็นและได้คุยกับเธอ จนผมมักพูดติดตลกกับเพื่อนว่า ‘ตอนนี้เหมือนผมได้เมียใหม่’ จากการเปลี่ยนแปลงของภรรยา ทำให้ตัวเองผมก็อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยเช่นกัน เพื่อให้ภรรยาผมมีความสุขเหมือนที่เขาทำให้ผมมีความสุข แล้วผมก็ทำมันได้แล้ว ผมเปลี่ยนแปลงตนเอง ทำความเข้าใจตนเอง เปิดใจรับฟังผู้อื่น จนผมได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอีกครั้ง จนมาถึงปัจจุบันนี้ เส้นทางข้างหน้าของผมอาจจะไม่ชัดในสายอาชีพ แต่ผมเชื่อมั่นในตัวเองว่า ผมจะไม่หลงทางไปในเส้นทางที่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป”
เสียงจากทอมทางเลือก ผู้ชายข้ามเพศ
“ฉันเป็นทอม ฉันโตมาท่ามกลางความรักของพ่อและแม่ ตอนฉันมีประจำเดือนครั้งแรกพ่อเป็นคนซื้อผ้าอนามัยให้ฉันใส่ ฉันแตกต่างจากเด็กผู้หญิงทั่วไป เมื่อฉันโตมาก็มักจะได้ยินคนอื่นถามพ่อกับแม่เสมอมาว่าลูกจะแต่งงานงานยัง? จะมีแฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? คำถามเหล่านี้มักมาจากคนอื่นภายนอกทั้งนั้น ซึ่งฉันไม่เคยถูกตั้งคำถามแบบนี้จากครอบครัวที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่มีคุณค่าตลอดมา เมื่อครอบครัวเป็นเชื่อมั่น เห็นคุณค่าในตัวฉันแบบนี้ ฉันก็เลยใช้ชีวิตเป็นทอมทางเลือกได้อย่างมีอิสรภาพ ฉันเป็นทอมในสิ่งที่ฉันเป็น ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร’ สำหรับฉันเสียงคนอื่นเป็นเพียงคนภายนอก ตราบใดที่พ่อแม่ยอมรับความเป็นเรา มันทำให้เรารู้สึกมั่นคงและเชื่อมั่นในความเป็นทอมของตัวเรา เรามีความมั่นใจ ไม่เสียศูนย์ต่อการเป็นทอมของเรา”
เสียงจากผู้ป่วยจิตเวช
“ฉันเป็นผู้ป่วยจิตเวช สมัยเด็ก ฉันมักมีพฤติกรรมของอารมณ์สองแบบที่ขึ้นพุ่งพล่านผิดปกติหรือบางทีก็เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ ตอนสมัยเรียน ฉันสอบเข้าโรงเรียน ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน แต่สักพักก็เกิดความรู้สึกว่าเพื่อนๆ ไม่ยอมรับในตัวฉัน สิ่งที่ฉันทำคือร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนๆ แล้วเหตุการณ์มันก็ดีขึ้น อาการป่วยของฉันหมอวินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคไบโพลาร์ ในช่วงที่อาการฉันหนัก พ่อแม่ต้องดูแลฉันไม่ห่าง เช้าวันหนึ่งฉันลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นภาพพ่อของฉันนอนขวางประตู เห็นภาพแม่ร้องไห้ ภาพเหตุการณ์ ณ ขณะนั้นทำให้ฉันฉุกคิดและตั้งคำถามกับตนเองได้ว่า ‘ฉันจะให้พ่อแม่มาดูแลเราต่อไปอย่างนี้หรือนี่?’ เหตุการณ์วันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันมีความคิดว่าอยากจะหายจากอาการป่วย ฉันค่อยๆ ทำความเข้าใจในตนเอง ค่อยๆ ระลึกและเข้าใจว่าอะไรเป็นมูลเหตุที่จะทำให้ป่วย และฉันก็พัฒนาตัวเอง วันนี้ฉันเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า แม้ว่าจะป่วยจิตเวชแต่ก็ทำงานได้ ฉันมั่นใจและสามารถพูดได้ว่า ขอบใจนะเจ้าโรคไบโพลาร์ที่ทำให้ฉันเข้มแข็ง”
เสียงจากกลุ่มเพศหลากหลาย
“ฉันเป็นผู้หญิงรักผู้หญิง ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความไม่เชื่อมั่นและยอมรับจากบุคคลในครอบครัว ฉันมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีความมั่นคงในชีวิต จนทำให้การเป็นหญิงรักหญิงของฉันต้องถูกยื่นคำขาดจากคนในครอบครัวให้เลือกชีวิตสองทาง ระหว่างการมีความสุขในชีวิตคู่กับการมีชีวิตอยู่ร่วมกับครอบครัว แต่สุดท้ายฉันได้เลือกชีวิตที่จะอยู่กับครอบครัวเพื่อดูแลคนที่รักและยอมสละชีวิตคู่ออกไป ฉันเสียใจ ฉันสูญเสียความสัมพันธ์มาหลายครั้ง และฉันต่อสู้เพื่อที่จะยืนหยัดได้ในทุกครั้ง ฉันต้องพิสูจน์ตนเองทั้งชีวิต จนจุดเปลี่ยนคือการได้เข้าร่วมโครงการเพื่อสังคมของทาง สสส. ได้เจอเพื่อนที่ร่วมทางเป็นพื้นที่ปลอดภัย รู้สึกไม่โดดเดี่ยวและทำให้ตนเองมีคุณค่ามากขึ้น รู้จักรักตนเอง รับรู้ความความหมายของชีวิตที่ว่า ‘หากจะเดินทางคนเดียว ก็รับรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ได้หมายว่าชีวิตเราอ่อนแอ หากแต่เป็นสัญญาณที่ส่งถึงเราว่าให้เรามีความมั่นคงที่จะก้าวต่อไปแม้ไม่มีใครเคียงข้างเรา’ ตอนนี้ประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเกิดขึ้นแล้ว ฉันอยากบอกคนทางบ้านว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มั่นคงในชีวิตคู่ต่อไปนะ หนูไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะมีลมหายใจอีกไหม หนูไม่รู้ว่าจะเจอใครรักหนูอีกไหม ถ้าหนูเจอเขาจริง ๆ หนูอยากขอให้คนที่บ้านยอมรับเขาได้ไหม ชีวิตนับจากนี้อีกร้อยปีเราก็ไม่อยู่แล้ว แล้วมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่มีความสุขวันนี้ละคะ”
เสียงจากอดีตผู้ต้องขัง (3)
“ผมใช้ชีวิตอย่างประมาท ผมถูกจับ ติดคุก ตลอดเวลาที่ต้องใช้ชีวิตในเรือนจำ ผมจำต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่ถูกลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้สูญสิ้นลงไป ผมถูกผู้คุมเรือนจำตราหน้าว่าเป็นผู้มีอิทธิพล และถูกกระทำจากผู้คุมต่างๆ นานา ทั้งการทำร้ายร่างกายและจิตใจ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า ‘หมดแล้วความรู้สึกของความเป็นคน ผมถูกทำโทษแบบไม่เหลือคุณค่าความเป็นมนุษย์’ แต่นั้นก็ไม่ทำให้ผมสิ้นหวัง มันกลับทำให้ผมมีพลังในการต่อสู่ต่อความอยุติธรรม ผมดำเนินการเขียนจดหมายร้องเรียนจนได้รับความเป็นธรรมและไม่ต้องถูกลงโทษในเรือนจำอีกต่อไป ชีวิตของผมเปลี่ยนผ่านเมื่อได้รับโอกาสให้เข้าร่วมเข้าโครงการจากใจสู่ใจฯ ทำให้ตนเองรู้จักคิดก่อนลงมือทำ ยับยั้งความใจร้อนของตนเองได้ จากสมัยก่อนเป็นคนมีสองร่างก็ทำให้ร่างหนึ่งหายไป จนผมได้ออกมาใช้ชีวิต ได้ประกอบอาชีพสุจริต เรื่องราวหลังการเข้าสู่โลกความเป็นจริง หลังพ้นโทษ ผมได้ไปสมัครงานวิ่งส่งอาหารได้ไม่นานก็ถูกปฏิเสธเนื่องด้วยมีประวัติอาชญากรรม จึงไม่สามารถทำงานได้ ผมไปสมัครงานหลายที่ แต่ก็ไม่มีใครรับด้วยประวัติเคยต้องโทษในเรือนจำมาก่อน ความตั้งใจดีของผมในการกลับตัวเป็นคนดี ไม่ถูกยอมรับและให้โอกาส แต่ผมก็ยังต่อสู้ ขอความเป็นธรรมจนบริษัทแห่งหนึ่งยอมรับ เปิดกว้างให้อดีตผู้ต้องขังมีโอกาสเข้าทำงานได้อีกครั้ง จนวันนี้ผมขอขอบคุณประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาทำให้ตนเองเข้มแข็ง มีคุณค่าในชีวิต รักตนเองและผู้คนรอบข้างมากขึ้น”
“ก้อนหินสำหรับคุณ ดอกไม้สำหรับผม ก้อนหินสำหรับคุณ เพชรงามสำหรับผม
“ก้อนหินสำหรับคุณ ก้อนหินสำหรับผม เพชรงามสำหรับคุณ เพชรงามสำหรับผม”
ส่วนหนึ่งของบทเพลงจากวงน้ำค้าง ที่อาจารย์ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม นำมาขับร้องในเวทีและเพิ่มเนื้อร้องท่อนสุดท้ายให้เข้ากับหัวข้อ “เพชรหรือก้อนหิน” เพื่อสื่อสารถึงจิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบของสังคม และความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในสังคมจวบจนถึงปัจจุบัน ปิดท้ายด้วยการสะท้อนถึงมิติทางจิตวิญญาณที่สามารถถูกพัฒนาขึ้นได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในสถานะทางสังคมแบบใด ดั่งเพชรหรือก้อนหินที่ต่างก็มีคุณค่าในตนเอง เมื่อเราหยิบยื่นก้อนหินให้ผู้อื่นก็ขอให้ได้หยิบยื่นก้อนหินก้อนนั้นให้แก่ตัวเราเอง เมื่อเราหยิบยื่นเพชรงามให้ผู้ใดเราก็จะได้รับความงามนั้นด้วย ดั่งการพัฒนามิติภายในที่ไม่แบ่งแยกว่าผู้อื่นจะเป็นเช่นไร แต่เราสามารถแบ่งปันและโอบอุ้มความดีงามนั้นที่เกิดขึ้นในตัวเราและผู้อื่นได้ตลอดเวลา
ท้ายสุด อาจารย์มัลลิกา ตั้งสงบ น้อมนำให้เราทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น จิตวิญญาณ ความทุกข์ ความสุข ความหวัง ความฝัน ที่มีอยู่ในตัวของผู้พูด ผู้แบ่งปันและตัวเราทุกคน ขอให้หัวใจของเราได้ขยายออก โอบรับความแตกต่าง ความหลากหลาย ขอให้เราค่อย ๆ กลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา กลับมาอยู่ที่ร่างกายของเรา ขอบคุณร่างกาย ขอบคุณหัวใจของเราที่เปิดรับการมีอยู่ของเพื่อน เราในสังคมนี้ ขอให้หัวใจเป็นหัวใจที่เข้มแข็ง เบิกบาน มีความรักและเป็นหัวใจที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน
ณ เวทีนี้ จึงเป็นการสื่อสารผ่านบทสะท้อนแห่งชีวิตอันลึกซึ้ง ที่จะทำให้สังคมรู้ว่ามีคนอีกหลายกลุ่ม ที่มีเพชรเม็ดงามอยู่ในตนเอง พร้อมที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลง มีทุกข์และมีสุขไม่ต่างจากเรา และเราสามารถที่จะเป็นจุดเล็กๆ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงการแบ่งแยกที่กำลังมีอยู่ในสังคม ลบล้างอคติเดิมที่สังคมมีต่อกลุ่มคนต่างๆ ให้เกิดสันติสุขและความเท่าเทียมที่มากขึ้นในวันข้างหน้า
การพบกันของจิตวิญญาณ สู่การร่วมทุกข์และความหวังในวันข้างหน้า: บทสะท้อนจากเจ้าภาพห้องย่อย อาจารย์ ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม
“สำหรับผมการได้มาพบกับทุกคนในเวทีเรื่องเล่าชีวิตครั้งนี้ ถือเป็นคุณค่าและความหมายที่สำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต การที่บางสิ่งบางอย่างได้น้อมนำให้จิตวิญญาณแต่ละดวงได้มาพบกันเป็นสิ่งล้ำค่าและงดงามของชีวิตเสมอ ครั้งแรกที่ผมได้พบกับทุกคนที่ได้เดินทางมาพบกันในฐานะกลุ่มคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบของสังคม เพียงการรับรู้เท่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันที่ตนเองจะได้มีส่วนให้เสียงของคนเหล่านี้ได้ถูกพูดถึงในสังคมในมุมที่แตกต่างออกไป”
“ทุกคนคือเพชรเม็ดงามล้ำค่าหรือไม่ก็เป็นก้อนหินที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ พร้อมเปล่งประกายเจิดจรัสของเพชรและสำแดงความแข็งแกร่งของหินในแบบของตนเอง เพราะสำหรับผมแล้ว ไม่ว่าเพชรหรือก้อนหินต่างก็มีคุณค่าในตนเอง ไม่ว่าสังคมจะให้คุณค่าความหมายว่าอย่างไร ก่อนจะมาเป็นเวทีที่ทรงพลังในงานประชุมวิชาการ สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือพื้นที่แห่งความปลอดภัย รับฟัง โอบกอด ดูแล ผ่านกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมที่เราได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างให้เกิดขึ้น ประสบการณ์ชีวิตมากมายของแต่ละคน ที่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความปวดร้าวได้ถูกนำมาเปิดเผย แสดงออกให้เพื่อนได้รับรู้ เป็นประจักษ์พยานความทุกข์ มีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ น้ำตา และการทำงานภายในที่หนักหน่วง บางเรื่องราวติดค้างอยู่ในใจของบางคนมานานหลายสิบปีโดยที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แต่พื้นที่แห่งความไว้วางใจนี้กลับโอบรับความทุกข์สาหัสนั้นไว้ และสลายความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นให้เบาบางลง สำหรับผมแล้วนี่คือความงดงามของชีวิตที่หาไม่ได้จากที่ใด ผมบอกกับทุกคนเสมอว่า ‘ไม่ต้องกังวลว่าเวทีวันจริงจะออกมาเป็นเช่นไร สิ่งสำคัญคือการที่เราได้พบกันแล้ว และการที่เราได้บอกเล่าชีวิตและความรู้สึกของเราในวันนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะส่งทอดให้ผู้ฟังได้รับรู้’ ผมรู้สึกขอบคุณประสบการณ์ของทุกคนเสมอ”
“การผนวกกระบวนการละครและกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาของ อาจารย์มัลลิกา ตั้งสงบ คือส่วนสำคัญในการเดินทางของพวกเรา กระบวนการละครและกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา ค่อยๆ นำพาให้ทุกคนสืบค้นตนเอง ผ่านการเขียนบทละครของชีวิต การอ่าน การบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตนและการรับฟังผู้อื่น คำบางคำ เหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในความทรงจำได้ถูกเปิดเผยออก และเป็นประตูสู่การคลี่คลายจากภายใน แม้บางครั้งการหวนคืนประสบการณ์นั้นจะนำพาความทุกข์ให้กลับมาอยู่ตรงหน้าเหมือนได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นอีกครั้งก็ตาม แต่กระบวนการค่อยๆ นำพาให้เกิดการโอบอุ้มดูแล และความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนที่คอยประคับประคองเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การเดินทางของทุกคนมีความมั่นคงจากภายใน ไม่ว่าความรู้สึกหรือเหตุการณ์ภายนอกจะเป็นเช่นไร”
“ผมคิดถึงบทเพลง ‘ก้อนหินและดอกไม้’ ได้ในเช้าวันงาน ผมนำมาขับร้องให้ทุกคนฟังในการซ้อมใหญ่ก่อนขึ้นเวที บางครั้งการเดินทางมาถึงของบางสิ่งในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็ช่วยเข้ามาเติมเต็มให้การปรากฏนั้นมีความหมาย ดังเช่นบทเพลงนี้ที่เข้ามาทำให้ความรู้สึกและการปรากฏของความไม่เท่าเทียมในสังคมนี้เด่นชัดมากขึ้น และทำให้ผู้ฟังได้เข้าถึงความหมายของสิ่งที่เราอยากสื่อสาร หลังเพลงจบ บทพูดสั้นๆ ของแต่ละคนในแต่ละช่วงอายุเกิดขึ้นสลับกันไป เช่น ‘แม่ซื้อของเล่นให้หน่อย’ ‘พ่อจ๋า แม่ไปไหน’ ‘เป็นลูกผู้ชายห้ามร้องไห้’ โดยคำพูดสั้นๆ ในวัยเด็กที่ทรงพลัง ทำให้เราทุกคนรับรู้ได้ว่า เด็กน้อยคนนั้นมองโลกใบนี้อย่างไรหรือถูกกระทำจากโลกใบนี้อย่างไร บทพูดสั้นๆ ของแต่ละคนดำเนินไปจนถึงช่วงอายุ 35 ปี หลังจากนั้นแต่ละคนก็ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตนเอง ที่มีทั้งความเจ็บปวดและมีความหวังในขณะเดียวกัน เรื่องราวของแต่ละคนสะท้อนจิตวิญญาณภายในที่ลึกซึ้ง และสิ่งที่อยากบอกกับสังคมจากเรื่องราวนั้น จนผู้ฟังรับรู้ได้ถึงประสบการณ์แห่งจิตวิญญาณและการร่วมทุกข์ไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นบทพูดแห่งอนาคตหลังจากอายุ 35-60 ปีก็ได้เปิดเผยออก และแสดงให้เห็นถึงความหวังของชีวิตของแต่ละคนในวันข้างหน้า”
“ขอบคุณตัวเองที่กล้าหาญ กล้ามาเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้คนอื่นฟัง ชื่นชมตนเองที่ผ่านมาได้ ผ่านความยากลำบากของชีวิตในแต่ละช่วงตอน คงเป็นความรู้สึกร่วมของเจ้าของเรื่องทุกคนที่ได้สะท้อนบนเวทีแห่งนี้ ผมรู้สึกประทับใจในตัวทุกคนเป็นอย่างมาก ทุกคนคือต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ‘แม้ชีวิตจะหนักหนาสาหัสสักเพียงไร เราสามารถต่อสู้ ฟันฝ่าและยืนหยัดเพื่อจะมีชีวิตที่ดีงามได้’ และยังสามารถส่งต่อโอกาสนั้นให้คนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องเผชิญกับความทุกข์เช่นเดียวกับเรา”
“เสียงของผู้เข้าร่วมรับฟังคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเยาวชนที่เด็กที่สุดในงานนี้ สะท้อนให้ทุกคนฟังทั้งน้ำตาที่เอ่อล้นว่า ‘เราเป็นวัยรุ่น เราอยู่กับสื่อสังคม ก็มักได้รับเรื่องราวด้านลบเป็นส่วนมาก แต่การมาวันนี้ ได้มาเห็นมุมมองของพี่ๆ ทุกคนที่มีความแตกต่างไป เห็นเส้นทางการเติบโตของทุกคน เหมือนเรามีความหวังว่ามนุษยชาติยังคงมีอยู่ รู้สึกถึงความหวัง รับรู้ความเป็นจริงว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นลบไปหมดตามโลกภายนอกที่พบเจอ มันยังมีความเข้มแข็งและความใจดีให้แก่กันและกันในสังคม’ เป็นหนึ่งในบทสะท้อนที่งดงามที่สุดในเวทีนี้ และทำให้ทุกคนอยู่ด้วยกันในความเงียบที่เป็นเสียงแห่งความหวัง ปิดท้ายด้วยคำชื่นชม คำขอบคุณและคำอวยพรจากผู้เข้าร่วมรับฟัง ‘เราถูกผลักออกไป จนเราไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้และรู้จักกัน หากเรารู้จักกันความเป็นชายขอบก็จะหายไป ขอบคุณเรื่องราวที่เป็นชีวิต การเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อมาแบ่งปันให้เราฟัง เรารับรู้ถึงความรู้สึกในใจที่มันสื่อถึงกันได้และเชื่อมั่นว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นแรงบันดานใจให้กับใครหลายคนขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในเพชรที่เปล่งประกายอยู่ภายในตนเองและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้’ ผู้เข้าร่วมเสวนากล่าวปิดท้าย”
“ดอกไม้และความหวัง ขณะที่ทุกคนกำลังจะลงจากเวที คุณสุพีชา เบาทิพย์ ประธานมูลนิธิทำทางก็ได้นำดอกไม้มามอบให้กับผู้พูดทุกคน มันเป็นช่วงเวลาที่หัวใจของผมเบ่งบานอย่างบอกไม่ถูก เรามาทำงานนี้กับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ‘ชายขอบของสังคม’ แต่ทุกคนได้รับดอกไม้เหมือนจบจากการแสดงที่ยิ่งใหญ่ในละครแห่งชีวิต เวลานั้น ‘ดอกไม้’ เป็นตัวแทนแห่งชีวิต ตัวแทนแห่งการเริ่มต้น ตัวแทนแห่งความหวัง เราไม่ได้รับเพียงดอกไม้ที่เป็นดอกไม้ธรรมดา แต่หัวใจของเราได้ถูกรดน้ำและได้รับความชุ่มฉ่ำจากดอกไม้นั้นด้วย”
“คืนนั้นเราสรุปบทเรียนร่วมกันหลังจากเวทีจบลง แม้มันจะน่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่วันนี้ไม่มีการบันทึกVDO ใดๆ เก็บไว้ เพื่อเป็นการรักษาความลับในเรื่องราวชีวิตของผู้พูดทุกคน แต่สำหรับผมแล้ว มันคือความงดงามมากกว่า ที่การปรากฏของเรื่องเล่าในครั้งนี้ จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่มีใครได้ยินได้ฟังมันอีก ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันในวันนี้จึงมีความหมายมากๆ และจะถูกจดจำไปอีกนานแสนนาน ...บทสะท้อนจบลง ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะได้พบกันอีก แต่การพบกันในครั้งนี้มันก็มีคุณค่ามากเพียงพอต่อการเดินทางต่อของเราแต่ละคนแล้วจริงๆ ‘จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ ความหวัง’ ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างแท้จริง”
“ผมรู้สึกขอบคุณทุกเหตุการณ์ และการปรากฏของทุกคนในงานครั้งนี้ ผมได้สัมผัสเรื่องราวชีวิตของผู้คนอีกมากมาย และทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อจิตวิญญาณของคนที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำงานเพื่อกลุ่มคนเหล่านี้ในวันข้างหน้า และมีความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมที่พร้อมร่วมทุกข์และมีความหวังไปด้วยกัน”
ผู้เขียน ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม



Comments