top of page

KN-2 | ปาฐกถานำ “พลังธรรมแห่งจินตนาการสู่ความร่วมมือพื้นฐาน”

Updated: May 23

1 มี.ค. 68  09:15-10:00 น.  เวทีกลาง สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์  ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

องค์ปาฐก : รศ.ดร.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล


ปาฐกถาที่ร้อยเรียงจากประสบการณ์ทั้งชีวิตของผู้ที่นิยามตนเองว่าเป็น “นักมนุษยนิยมผู้รักสันติภาพ” และต่อมาเป็น “นักมนุษยชาตินิยม” ที่ขอใช้ “ความเฉลียวพบ” หรือ “serendipity” มาขับเคลื่อนสันติภาพและความร่วมมือขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติ อาจารย์โคทมเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในประเด็นสันติภาพในสังคมไทย โดยเฉพาะสันติภาพชายแดนใต้ ชีวิตหลังเกษียณเปิดโอกาสให้ท่านเดินทางสู่โลกทางจิตวิญญาณมากขึ้น จนพบว่าสิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต ก็ให้ความหมายแก่ความตายเช่นกัน



ชมคลิปบันทึกปาฐกถาแบบย่อ


ชมคลิปบันทึกปาฐกถาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


นำเสนอเส้นทางชีวิตขององค์ปาฐก ตั้งแต่วัยเยาว์มาถึงปัจจุบัน ผ่านจุดเปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งค่อยๆหล่อหลอมความเป็นตัวตนของท่าน ให้กลายเป็นนักมนุษยนิยมที่สื่อสารกับสังคมและขับเคลื่อนประเด็นเรื่อง “สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และสันติวิธี” และนำเสนอแนวคิดของปรมาจารย์ด้านสันติวิธีสองท่านที่มีอิทธิพลต่อปรัชญาการทำงาน คือ จอห์น พอล เลเดอรัค (John Paul Lederach) และโยฮัน กัลตุง (Johan Galtung)

 

ตลอดช่วงชีวิตของท่านมีความใส่ใจในสังคมการมืองและสันติภาพในสังคมไทย โดยเฉพาะสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ ล้วนยังคงวนเวียนเป็นปัญหาอยู่ ทั้งการที่คนในสังคมมักลดทอนเรื่องที่ซับซ้อนให้เป็นเรื่องที่ง่าย โดยมองทุกอย่างเป็น 2 ขั้ว เช่น ถูก-ผิด เป็นการสร้างความขัดแย้ง แตกแยก แม้ในปัจฉิมวัย ท่านสนใจเรื่องจิตวิญญาณ สิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต ทว่ายังคงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานขับเคลื่อนสันติภาพและความร่วมมือขั้นพื้นฐานในมนุษยชาติ

 

ในงานนี้ท่านเสนอแนวทางสันติวิธีเป็นทางออกของสังคมให้ประชาชนรับรู้ และมีความหวังว่าข้อความนี้จะไปถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมืองด้วย โดยมีเป้าหมายคือ สันติภาพและการอยู่ร่วมในสังคม ที่ทุกคนได้รับการดูแลความต้องการพื้นฐาน และมีชีวิตอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

ท่านเล่าเรื่องราวชีวิตตนเองในช่วงวัยที่พบจุดเปลี่ยนสำคัญ และหนังสือเล่มต่างๆ ที่ส่งผลต่อแนวคิดและการดำเนินชีวิตโดยนำเสนอเดินอยู่ด้านล่างเวที สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ฟัง มีสไลด์ที่เตรียมมาเป็นข้อความประกอบอยู่เบื้องหลัง

 

  • เมื่ออายุยังน้อย ท่านมีศรัทธาในคำสอนของศาสนาคาทอลิกที่ว่า “จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ด้วยความเป็นผู้ชอบอ่านหนังสือ เมื่อไปเรียนต่อได้อ่านวรรณกรรมเล่มหนึ่งที่ประทับใจเป็นพิเศษ และนำมาแปลเป็นภาษาไทยชื่อ “แผ่นดินของเรา” และหนังสือประวัติของผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2495 คุณหมอ ชไวท์เซอร์ชาวเยอรมันที่ ผู้รักษาโรคมาเลเรียในถิ่นทุรกันดารช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

 

  • จุดเปลี่ยนในชีวิตอีกครั้งหนึ่งคือเมื่อเกษียณอายุ 60 ปี เริ่มสนใจการเจริญสติ และได้รับโอกาสเข้าทำงานในศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นบรรณาธิการในการแปลหนังสือ “พลังธรรมแห่งจินตนาการ : ศิลป์และวิญญาณการสร้างสันติภาพ” เขียนโดยจอห์น พอล เลเดอรัค ซึ่งนำมาใช้ในการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดไว้ว่า เส้นทางสู่สันติภาพไม่ใช่เส้นตรง ไม่มียุทธศาสตร์สำเร็จรูป สันติภาพต้องสร้างขึ้นด้วยความเพียรในการถักทอความสัมพันธ์ใหม่ ตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นมา

               

  • ในปัจฉิมวัย ท่านได้เข้ารับการอบรมเรื่อง “การมีชีวิตและการตายอย่างมีศักดิ์ศรี” ประกอบกับได้อ่านหนังสือ “วงล้อแห่งชีวิต : บันทึกความทรงจำของการมีชีวิตกับการตาย” และหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อ “การเชื่อมต่อ : การศึกษาการติดต่อกับโลกที่มองไม่เห็น” ทำให้ท่านเข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณมากขึ้น โดยมีข้อคำนึงว่า สิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต ก็ให้ความหมายแก่ความตาย เกิดมาทั้งที ขอให้เห็นโอกาสที่จะใช้ความเฉลียวพบ (serendipity) เพื่อขับเคลื่อนสันติภาพและความร่วมมือขั้นพื้นฐานในมนุษยชาติ

 

เป้าหมายปลายทางของกระบวนการประชาธิปไตย มิใช่สังคมไร้ชนชั้น หรือไร้ความเหลื่อมล้ำ หากเป็นสังคมที่ระดับความพึงพอใจในด้านความต้องการพื้นฐานนั้นสูงพอที่จะให้ทุกคนมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ความหมายของ “ประชาธิปไตย” สำหรับท่านอ้างจากโยฮัน กัลตุง คือการที่ทุกคนได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน (Basic Human Needs) และมีหลักประกันสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน (Basic Human Rights)

 

ความเป็นตัวตนขององค์ปาฐก ท่านโคทม อารียา ปรากฏระหว่างการบรรยาย สะท้อนความเรียบง่าย เป็นธรรมดา แต่เปี่ยมไปด้วยพลังของเจตจำนงที่ชัดเจน แน่วแน่ และลุ่มลึกของมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความเข้าใจธรรมชาติของความจริงที่อยู่เหนือการควบคุม ทว่ายังเปล่งประกายของความหวัง... ความหวังที่จะเห็นสังคมแห่งความร่วมมือ เปิดกว้าง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

สันติภาพและการอยู่ร่วมในสังคม ทุกคนได้รับการดูแลความต้องการพื้นฐาน

 

และมีชีวิตอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

ความต้องการพื้นฐาน ได้แก่ “ความต้องการทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ”

 

ขยายความถึงจิตวิญญาณว่า “เราเกิดมาทำไม และจะตายอย่างไร”




Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page