T3-7 | เสวนา “มูอย่างไรไม่ให้ดาร์ก”
- Jitwiwat
- Apr 11
- 2 min read
Updated: Aug 23
28 ก.พ. 68 18:00-20:00 น. เดอะ มิตร-ติ้ง รูม (The Mitr-ting room) ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ: อิทธิศักดิ์ เลอยศพรชัย We Oneness และมูลนิธิสหธรรมิกชน
นำเสวนา: พระมหามฆวินทร์ ปุริสฺตโม ผศ.ดร. มหามกุฏราชวิทยาลัย, รศ.ดร.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล, จามีกร อำนาจผูก สถาบันนโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่ และ ชมภัคมนธฑ์ แสนประสิทธิ์ Spiritual Health Influencer
ผู้ดำเนินรายการ: ผศ.ดร.เมธา หริมเทพาธิป และ สาวิกา กาญจนมาศ
ปัจจุบันคำว่า “มูเตลู” มักสื่อความหมายในเชิงบวก ว่าคือการทำบุญเสริมดวงชะตาให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าการเรียน การเงิน ความรัก ดึงดูดทรัพย์และโชคลาภ รวมไปถึงการคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย
แต่ในใจคนสายมูเองก็อาจมีคำถามว่า “มูเตลู” สามารถช่วยเราได้จริงไหม ความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมดวงชะตากับการพัฒนาด้านในควรเป็นเช่นไร และที่สำคัญคือ ตอนนี้เรา “มู” มากเกินไปแล้วหรือยัง
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
ชวนกลับมาตั้งคำถามว่า การที่เรา “มู” (มูเตลู เช่น การทำบุญเสริมดวงชะตาเพื่อให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ) เป็นเพราะอะไร และถ้าจะมู มูอย่างไรถึงจะไม่เกิดผลกระทบด้านลบจนเบียดเบียนตนเอง
ในสังคมปัจจุบันอาจพบเห็นปรากฏการณ์ของการมูที่เกินพอดี จนเกิดภาวะพึ่งพิงสิ่งภายนอกมากเกินไป เป็นเหตุให้คนมูต้องสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ผู้ประกอบการมู (เช่น เจ้าสำนัก หมอดู) ก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ การที่คนเรามาข้องเกี่ยวกับการมู อาจเป็นเพราะความกลัวและการขาดซึ่งอำนาจภายในในการจะทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง การมูช่วยให้เกิดพลังใจได้เพราะมีศรัทธา อย่างไรก็ดี การมูที่ดาร์กจะทำงานเหมือนกับยาเสพติด คือ เห็นผลเร็วและให้ผลระยะสั้น ส่งผลทำให้เราต้องอยากได้มันอยู่เรื่อย ๆ จนถึงจุดที่เราขาดมันไม่ได้
วงเสวนาชวนแต่ละคนแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองต่อเรื่องนี้ ส่วนใหญ่แลกเปลี่ยนในทำนองว่า ขอให้มูอย่างมีปัญญา มูเพื่อช่วยคน เพื่อให้ทำความดี รักษาศีล นอกเหนือจากการเล่าเรื่องลึก ๆ ของแต่ละคนว่ามีประสบการณ์การมูมาอย่างไรบ้าง มีท่านหนึ่งเล่าถึงเบื้องหลังการเป็นร่างทรงของตนว่า ที่จริงเกิดจากมุมมองต่อชีวิตที่มาจาก Narrative ของตนเอง หากตระหนักรู้เท่าทันตรงนี้ก็สามารถปลดคลายสิ่งนี้ออกไปจากชีวิตให้ตนเองมีอิสระมากขึ้นได้ โดยรวม มูที่ดาร์กคือมูที่หาผลประโยชน์ หรือต้องพึ่งแต่คนอื่นโดยไม่กลับมาตระหนักรู้ในตนเอง ส่วนมูที่ไม่ดาร์กทำได้โดยใช้สติและปัญญา ทำให้เรามีพลังใจเพื่อให้สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่ต้องรีบให้ได้ผล
ไม่จำเป็นต้องตัดสินการมูว่าเป็นสิ่งผิดหรือถูก แต่ขอให้สืบค้นกลับไปว่า ที่ต้องมูเพราะเกิดจากความกลัวหรือสาเหตุอะไรในตนเอง สืบค้นจนเกิดปัญญาจากภายในที่ให้ความมั่นคงมากพอที่จะพึ่งพาตัวเองได้
“มูเป็นปรากฏการณ์สังคมด้วย อย่าแค่กลับไปร่องเดิมหรือเอาแต่ชิม ขอให้ลองเปิดกว้างและทำวิจัยกับสิ่งนี้ดู”
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทความสะท้อนใคร่ครวญ (Reflection) จากการจัดห้องย่อยในงานประชุมวิชาการ’68 เวทีเสวนา มูอย่างไรไม่ให้ดาร์ค
เมื่อผมทราบว่า งานมหกรรม Soul Connect Fest ในปีนี้มีการจัดขึ้น และมีการควบรวมเวทีวิชาการให้มาอยู่ในพื้นที่และบรรยากาศพลังงานเดียวกันอย่างไม่แปลกแยก ผมก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมกับงานครั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะทางผมรู้ดีว่าโครงการ we oneness นั้นมี เครือข่ายผู้นำการเปลี่ยนแปลง เครือข่ายนักสื่อสารสุขภาวะทางปัญญาที่หลากหลาย
เมื่อผมทราบว่าพี่ตุ๊กตาเป็นคนที่ดูแลเวทีในแต่ละห้อง จึงพุ่งเข้าไปแจ้งความต้องการที่จะขอมีส่วนร่วมด้วยในทันที การเริ่มต้นของการร่วมมือกันจึงเกิดขึ้น ลึกๆ แล้วการพุ่งเข้าไปในวันนั้นของผมนั้นมีหลายความรู้สึก ทั้งรู้สึกสนุกเป็นการส่วนตัวที่จะได้เข้าไปทำงานร่วมเพื่อสร้างให้เกิดเวทีใหม่ๆ ในแบบที่ we oneness ร่วมสร้างขึ้นมาได้ มีความรู้สึกตื่นเต้นที่จะเห็นเวทีที่เกิดขึ้นจากครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรที่เรารู้จักและเคารพรัก ได้ขึ้นไปแลกเปลี่ยน ส่งต่อคุณค่า และภูมิปัญญา จากข้างในจิตวิญญาณของแต่ละท่านออกมาสู่สาธารณะ รู้สึกมีความสุขที่จะมีบุคคลทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมนี้ และได้รับประโยชน์กลับไปเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน มาถึงตอนนี้ในขณะที่เขียนบทความนี้ ผมรู้สึกขอบคุณศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา และพี่ตุ๊กตาเป็นอย่างสูงที่เปิดโอกาสให้ทางโครงการ we oneness ได้รับโอกาสนี้
ในช่วงแรกเริ่มต้นนี้ ผมได้สะท้อนใคร่ครวญตนเองก็ได้พบว่า ผมมีนิสัยบางอย่าง ที่เหมือนกันทุกครั้ง ก็คือ เมื่อมีงานใหม่ๆ ที่ท้าทายเกิดขึ้น ผมมักจะมีความสุข พุ่งทะเยอทะยาน ไขว่คว้า เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ผมอยากให้เกิดสิ่งดีงามที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนเกิดจากการมีส่วนร่วมของผม แม้ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ไม่รู้จะเรียกว่าความอ่อนแอ หรือ จุดเด่น หรือปมที่ขาดพร่องของตัวเอง แต่พฤติกรรมเช่นนี้เองที่ผลักดันให้ผมได้มาทำงานที่ด้านจิตวิญญาณ งานที่เกี่ยวกับสุขภาวะทางปัญญา งานที่เกี่ยวกับการทำงานเพื่อสังคม ความขัดข้องและทะเยอทะยานนี้ ทำให้ผมอยากมีคุณค่า อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา และงานครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมจึง รู้สึกมีความสุข ในการมีส่วนร่วมใน การจัดเวที “มูอย่างไรไม่ให้ดาร์ค”
ต่อมา เมื่อเป็นผู้จัดแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบที่มากขึ้น ซึ่งเป็นตามปกติในการจัดเวทีเช่นนี้ ต้องมีการประชุมเตรียมประเด็น โดยเฉพาะเมื่อเป็นเวทีเชิงวิชาการด้วยนั้น ทำให้ผมพบว่า ผมเองไม่ค่อยถนัดในการจัดเวทีเชิงวิชาการเท่าไหร่นัก พบว่าตัวเองมีความกังวลในการจัดเวที ในการเตรียมประเด็น ในการชวนวิทยากรทุกท่านมาประชุม มันเป็นพื้นที่ที่ผมไม่ถนัด และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง ผมก็ไม่มีความมั่นใจ กลัวทำผิดพลาด กลัวทำให้งานโดยรวมเสียหาย แต่ด้วยความเป็นผมมีความทะเยอทะยาน ไม่อยากให้ตัวเองผิดพลาด จึงดำเนินงานต่อไป แม้จะไม่มั่นใจว่ามาถูกต้องหรือไม่ ไม่กล้าเชิญวิทยากร ผมพบว่าลึกลึกข้างในผม นั้นกลัวผิด กลัวถูกมองว่า ทำไม่ได้ แต่ตัวตนอีกฝั่งหนึ่งก็ยังมีความทะเยอทะยานและความกล้าหาญอยู่ จึงตัดสินใจว่า ทำไปเถอะ ติดต่อไปเถอะ แม้ว่าจะมีความกลัวอยู่ก็จงทำไป
ผมจึงเริ่มติดต่อ โทรนัดและประสานงาน ให้ทุกคนมาประชุมร่วมกัน ผมได้มีแกนพูดคุยกับวิทยากรทีละท่าน เกริ่นนำบอกเล่าความเป็นมา อธิบายถึงรูปแบบกิจกรรม หัวข้อ วัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมาย ให้กับพิธีกรฟัง ทั้งหมดแล้ว สิ่งนี้กระมังที่ผมทำได้ดี สื่อสารเบื้องต้นให้ทุกคนเห็นคุณค่าของเวทีเสวนานี้ วิทยากรทุกท่านตอบรับคำเชิญของผม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีมาก ที่ได้รับการยอมรับจากวิทยากรทุกท่าน ซึ่งผมได้รู้ว่านี่แหละคือความทุกข์และความสุขของผม มันสลับไปมา ในทุกๆ งาน ในทุกๆ กิจกรรม ในทุกๆ ความรับผิดชอบของผม ในการเตรียมเวทีนี้ก็เช่นกัน
เมื่อถึงวันที่มีการประชุมกันของวิทยากรและพิธีกร ช่วงแรกๆ ผมมีความกังวลสูง ผมจะนำการประชุมได้ไหม ผมจะจัดการประชุมให้อยู่ในประเด็น ได้มาซึ่งความชัดเจนในการนำไปจัดเวทีได้ไหม ผมได้เตรียมตัวในระดับหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่ามันเครียดเกินไป มันดูจริงจังเกินไป ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่พลังงานที่เหมาะกับงาน ผมจึงเปลี่ยนท่าที โดยเริ่มจากด้านในว่าจะผิดจะพลาด ก็ช่างมันเถอะ อีกอย่างตัวเราก็ไม่ได้เก่งเรื่องนี้ วิทยากรที่เราเชิญมาทุกคน หลายคนเก่งกว่าเรามาก มันคงจะง่ายกว่ามาก ถ้าเราขอความช่วยเหลือจากทุกคนในที่ประชุม เมื่อผมปล่อยวางความรู้สึกที่ตัวเองต้องเก่งลง ผมก็รู้สึกดีขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ไปประชุมได้อย่างไม่คาดหวัง
ถึงแม้ว่าการจัดการประชุมครั้งนั้นผมจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้มีความทุกข์กับมัน มิหนำซ้ำ ผมกลับเห็นโมเมนต์ดีๆ จากการฟังวิทยากรทุกท่านแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คุยเรื่องเดียวกัน หนุนเสริมสนับสนุนประเด็นซึ่งกันและกัน จากวิทยากรทั้ง 4 ท่านที่แตกต่างกัน เพียงแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง วิทยากรที่หลากหลายทั้ง 4 ท่าน ก็คุยในเรื่องเดียวกันได้ไม่ได้แย้งกัน เรื่องที่เข้าใจตรงกันก็หยิบจากมาหนุนเสริมขยายให้เกิดประโยชน์ ช่วยกันกำหนดขอบเขตของการเสวนา ความรู้สึกของผมในช่วงเวลานั้นรู้สึกดีมากๆ ถึงแม้ว่าผมไม่ได้เป็นคนเก่งที่สุดในวง ไม่ได้เป็นคนที่ทุกคนจะมาสนใจ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้ผมมีความสุข รู้สึกว่าเวทีนี้จะเป็นเวทีที่มีคุณค่าได้จริงๆ เราจบการประชุมโดยที่ไม่ได้มีการสรุปรายละเอียดในการเสวนาบนเวทีแบบตายตัวมากนัก ผมเชื่อในพลังแห่งปัจจุบันขณะว่าเมื่อถึงเวลาอยู่บนเวที วิทยากรทุกท่านจะเปิดเผยความจริงที่ได้มีส่วนร่วมกันก่อนหน้านี้ และเกิดปัญญาที่สอดประสานกันตามจังหวะและรหัสจักรวาล
ในการประชาสัมพันธ์งานเสวนา ช่วงโค้งสุดท้ายผมได้ประสบปัญหาเล็กน้อย เรื่องจำนวนผู้สมัครที่นับได้ว่าน้อยมากเมื่อเทียบจากที่เราตั้งเป้าเอาไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจคือ ผมรู้สึกมีการโทษตัวเองอีกครั้ง โทษตัวเองที่ว่าทำไมเราไม่ใส่ใจ ทำไมเราไม่เสนอตัวที่จะมาช่วย ติดตามเรื่องคนสมัครเข้างานกับพี่ตุ๊กตา ทำไมเราเห็นแก่ตัวที่อยากจะจัดงานเพื่อความท้าทายของตัวเอง แต่เมื่อเป็นงานอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบ ความเหน็ดเหนื่อย หรือที่มันไม่สนุก ผมก็มีแนวโน้มที่จะไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ผมรู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวของตัวเองอีกครั้ง และก็ได้ทบทวนว่า จริง ๆ แล้วผมเห็นแก่ตัวแบบนี้มาตลอด และทุกครั้งเมื่อผมเห็นแก่ตัว ผมจะมีความรู้สึกโทษตัวเองอยู่สักพักนึง แต่พอมาถึงในวันนี้ ผมก็รู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้น อย่างน้อยงานนี้ก็ทำให้ผมเริ่มที่จะยอมรับ ความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้
เมื่อถึงวันจัดงาน จำนวนผู้เข้าร่วมที่สมัครเข้ามาก็ยังถือว่าน้อยมาก และเราก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยมีการเปลี่ยนแผนกะทันหัน จากแผนเดิมที่ให้พิธีกรและแขกรับเชิญอยู่บนเวที ผู้เข้าร่วมฟังเสวนาที่อยู่ด้านล่างจะนั่งเก้าอี้ในรูปแบบเธียเตอร์ ก็ได้ปรับเปลี่ยนการจัดเวทีและการนั่งของผู้เข้าร่วมเสวนา โดยเราจัดให้พิธีกรและแขกรับเชิญลงมานั่งด้านล่างในรูปแบบล้อมวงกลมเป็นวงเดียวกับกับผู้เข้าร่วม การปรับเปลี่ยนครั้งนี้คือการปรับปัญหาให้เป็นโอกาส ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ถึงแม้คนจะน้อย แต่เสวนาวงนี้เปี่ยมด้วยคุณภาพ มีการแลกเปลี่ยนในประเด็นที่ลึก และกล้าเผยข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เพื่อการแบ่งปันประสบการณ์ที่มีรายละเอียด มีการแชร์ความรู้สึกที่ทั่วถึงกัน ซึ่งมาถึงจุดนี้ผมรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของวง มีการร่วมมือ ร่วมกันสื่อสาร รับข้อมูลส่งข้อมูลให้กันและกัน พลังงานของวงตอนนี้มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย มีชีวิตชีวา
หลังจากเวทีเสวนาจบ เรามีการถ่ายรูป และพูดคุยกัน ผู้เข้าร่วมได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนม หลายๆ คู่สนทนาก็เดินเข้าไปทักทายพูดคุยในเรื่องที่ตนเองมีประสบการณ์คล้ายกัน บ้างก็ให้กำลังใจ บ้างก็เข้ามาพูดคุยเพื่อขอความช่วยเหลือ บ้างก็ให้คำแนะนำ บางคนก็เดินเข้าไปฟังเฉยๆ สิ่งเหล่านี้สำหรับผมแล้วเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ผมค่อนข้างใจฟู ดีใจ ที่เห็นว่าวงนี้มีประโยชน์ เกิดขึ้นได้จริง ไม่ว่าจะเป็น การให้กำลังใจกัน การแบ่งปันประสบการณ์ในการแก้ปัญหาต่างๆ ณ ขณะนั้นผมยืนดูอยู่ห่างๆ ผมขอเก็บประสบการณ์ ณ พื้นที่และเวลาขณะนั้นไว้ในใจ
หลังจากจบงานแล้วจนถึงวันนี้ ผมมีความรู้สึกอยากขอบคุณทุกคน ทุกสิ่งอย่างที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้น ในการจัดงานที่มีความคาดหวังสูง เรามักพบปัญหาทั้งเรื่องการจัดการงานภายนอก และพบปัญหาภายในใจเราเอง ส่วนตัวแล้วรู้สึกไม่ค่อยอยากจัดอีก เพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้ถนัด และทำได้ไม่ดีพอ แต่อีกใจหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเราอยากจะหลบหนีอีกแล้ว เราก็เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสอีก เราจะทำ และจะลองทำให้ดีที่สุด









Comments