T3-6 | เสวนา “ภัยพิบัติ การร่วมชะตากรรม และประตูสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ”
- Jitwiwat
- Apr 12
- 1 min read
Updated: Aug 23
28 ก.พ. 68 15:15-17:15 น. เวทีกลาง สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ: ศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา
นําเสวนา: ดร.ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม, สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อํานวยการมูลนิธิกระจกเงา, ทิชา ณ นคร ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก และ ไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไทย
ผู้ดําเนินรายการ: ประสาน อิงคนันท์
หายนะจากภัยพิบัติเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งจากการปรวนแปรของโลก โรคระบาด และความผิดพลาดของมนุษย์ โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นบาดลึกเข้าไปในชีวิตและจิตวิญญาณทั้งของผู้ประสบภัยและผู้เป็นอาสาสมัครภัยพิบัติ
แต่อีกด้านหนึ่ง การอุทิศตนแบบร่วมเป็นร่วมตายของผู้ร่วมชะตากรรมได้ดึงความเป็นมนุษย์ออกมา นำสู่ความร่วมมือ ไว้เนื้อเชื่อใจ เกิดการชำระจิตใจและลอกคราบทางจิตวิญญาณแบบฉับพลัน กลายเป็นความทรงจำฝังลึกที่เป็นแสงสว่างของชีวิต
มาช่วยกันหาความเป็นไปได้ในการนำความงามที่เกิดขึ้นนี้ แปรเป็นพลังงานด้านบวกที่เป็นสมบัติร่วมของสาธารณะอย่างเป็นรูปธรรม
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
การเสวนาเรื่อง “ภัยพิบัติ การร่วมชะตากรรม และประตูสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ” ได้นำเสนอแนวคิดที่ลึกซึ้ง เกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติและวิธีการมองภัยพิบัติเหล่านั้น เป็นโอกาสในการพัฒนาจิตวิญญาณ โดยเฉพาะการใช้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติเป็นพลังในการช่วยเหลือผู้อื่น ตัวอย่างเช่น การให้โอกาสเยาวชนที่เคยทำผิดในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งไม่เพียงช่วยเหลือผู้รับ แต่ยังทำให้ผู้ช่วยได้รับการเยียวยาจากการทำเพื่อผู้อื่น การช่วยเหลือกันในช่วงเวลาวิกฤตกลายเป็นกระบวนการที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภายในที่ยิ่งใหญ่ในทั้งผู้ให้และผู้รับ
การเสวนาครั้งนี้เน้นถึงความสำคัญของการร่วมทุกข์ร่วมใจในสังคม การทำงานร่วมกันในยามทุกข์ยากเพื่อขับเคลื่อนให้สังคมก้าวข้ามวิกฤตต่าง ๆ และเสริมสร้างพลังของการร่วมมือที่นำไปสู่ความหวังและการเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลและสังคม การรับฟังประสบการณ์จากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลลวง (Hate Speech) ยิ่งทำให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในสังคม การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในชุมชน และยังทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก
ในด้านของสันติภาวะ ภัยพิบัติได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมแรงร่วมใจในท่ามกลางความทุกข์ ซึ่งสามารถนำไปสู่การสร้างสันติภาวะได้ การใช้สันติภาวะในเวลาวิกฤตช่วยให้สังคมสามารถฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความหวังและความร่วมมือกันอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันยังเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาและจิตวิญญาณ โดยการช่วยเหลือผู้อื่นในเวลาทุกข์ยากเป็นการทำให้ตัวเองได้เรียนรู้ความกรุณาและความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างมนุษย์ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทั้งในระดับบุคคลและสังคม
ภัยพิบัติเป็นโอกาสในการพัฒนาจิตวิญญาณ สถานการณ์ภัยพิบัติสามารถกลายเป็นแรงผลักดันที่ช่วยให้ผู้ประสบภัยมีโอกาสพัฒนาตนเองโดยการทำงานอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นถือเป็นการเยียวยาตัวเองและสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
การรับรู้ถึงความทุกข์ของผู้คนในสังคมในช่วงภัยพิบัติสร้างแรงบันดาลใจในการร่วมมือช่วยเหลือผู้อื่น และเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งส่งผลให้เกิดความหวังและความร่วมมือในสังคม
ในขณะที่ภัยพิบัติเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความทุกข์ แต่สันติภาวะสามารถเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของผู้คน ซึ่งช่วยให้ทุกชีวิตที่ยังอยู่สามารถผ่านพ้นทุกข์ร่วมกันไปได้
การช่วยเหลือผู้อื่นในช่วงวิกฤตเป็นการสะท้อนความกรุณาในตัวเรา และการร่วมทุกข์ร่วมใจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งทำให้ผู้ที่เคยผิดพลาดในอดีตสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองและกลับมาเป็นคนดีของสังคมได้
การร่วมกันทำงานช่วยเหลือในช่วงภัยพิบัติทำให้คนในสังคมรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในชุมชนและสังคม ซึ่งสร้างความรู้สึกถึงคุณค่าในตนเองและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในของปัจเจกและชุมชน









Comments