T3-5 | วงสนทนา “เวชศาสตร์ประคับประคอง เมล็ดพันธุ์จิตวิญญาณของสังคม”
- Jitwiwat
- Apr 13
- 4 min read
Updated: Aug 23
28 ก.พ. 68 13:00-15:00 น. ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ: ศูนย์ชีวันตาภิบาล รพ.สงขลานครินทร์, หน่วยการรุณรักษ์ รพ.ศรีนครินทร์ และ เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม
วิทยากร: ดร.นพ.สกล สิงหะ นพ.อรรถกร รักษาสัตย์ และ ศ.ดร.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร
หัวใจของการตายดี (Good death) เกิดจากการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เข้าใจ “ชีวิตที่มีความหมาย” และทำให้กระบวนการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายนำเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นนั้น สิ่งนี้เป็นเส้นทางจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล
แต่หากเราต้องการให้การตายดีเป็นวาระหลักของสังคม และมีสังคมที่เอื้อต่อการ “อยู่ให้ดี มีสติ” เราต้องทำเช่นไร สังคมที่คนตายดีได้จะมีหน้าตาแบบไหน
กลุ่มหมอพาลิจะมาชวนเราตกผลึกบทเรียนจากประสบการณ์ตรงในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย และเปิดรับความเห็นจากทุกท่านที่จะร่วมเป็นกัลยาณมิตรบนเส้นทางแห่งปัญญาวิวัฒน์นี้
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
ปัญหาหลักที่นำเสนอได้แก่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยระยะท้ายในปัจจุบันยังไม่ได้รับความใส่ใจเท่าที่ควร วิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยมุมมองของแพทย์เพียงฝ่ายเดียว ยังขาดการฟังเสียงความต้องการของคนไข้และครอบครัว นอกจากนี้ผู้กำหนดนโยบายและบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการตายดี มีทัศนคติต่อการรักษาไม่หายว่าเป็นความล้มเหลว และประชาชนทั่วไปยังไม่ตระหนักถึงสิทธิในการตายดี
ผู้เข้าร่วมเสวนาเป็นแพทย์ที่ใช้แนวทางการดูแลแบบประคับประคองในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย นำเสนอสาเหตุที่ต้องมีการดูแลแบบประคับประคอง เส้นทางการพัฒนาของระบบการดูแลแบบประคับประคองในประเทศไทย เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา และทางออกในการรับมือกับอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจต่อการแพทย์ที่มีความเป็นองค์รวม (Holistic) และมีหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized) และเพื่อให้ทางเลือกในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเน้นที่การตัดสินใจร่วม (shared decision making) คือ ตอบสนองความต้องการทั้งของผู้ป่วย ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์
ข้อสรุปหลักๆ ที่ได้จากการเสวนา ได้แก่
การสร้างความเข้าใจเรื่องการดูแลแบบประคับประคองให้กับบุคลากรกลุ่มเล็กๆ ในโรงพยาบาลและค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น
สร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้าใจการดูแลแบบประคับประคอง โดยการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนจากหลักสูตรระยะส้นที่ใช้เวลาไม่กี่วัน ค่อยๆ ปรับเป็น 6-8 สัปดาห์ จนในปัจจุบันเป็นหลักสูตร 1 ปี และกำลังจะมีหลักสูตร 2 ปี ในปีหน้า
พัฒนาแพทย์ทั้งทางด้านความรู้ ทักษะ และตัวตน ให้มีทัศนคติต่อการรักษาว่าแม้รักษาไม่หาย แพทย์ก็ยังช่วยคนไข้ต่อได้ด้วยการดูแลคุณภาพชีวิตของเขา ให้เขาอยู่และจากไปอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สร้างการรับรู้ให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิในการตายดี ตายอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เสริมกำลังใจให้ประชาชนช่วยกันส่งเสียงให้ภาครัฐมองเห็นความสำคัญ เพื่อให้ผู้บริหารโรงพยาบาลและผู้บริหารประเทศกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมให้เกิดระบบการดูแลแบบประคับประคอง ที่เข้มแข็ง
สิ่งสำคัญคือการดูแลแบบประคับประคองเป็นระบบที่เป็นความหวังหนึ่งของสังคมในการอยู่ร่วมอย่างเคารพ และมองเห็นหัวใจความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ในบริบทความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้/ผู้ดูแล/ญาติและบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งระหว่างคนไข้และคนในครอบครัว และหาทางออกร่วมกันอย่างเกื้อกูล
คุณค่าที่ได้รับคือผู้ป่วยได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างสอดคล้องกับคุณค่าภายในและมีความหมายต่อตัวผู้ป่วยเอง ดังที่มีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นญาติของคนไข้ท่านหนึ่งได้พูดขอบคุณ การดูแลแบบประคับประคองด้วยความซาบซึ้ง นอกจากนี้ประสบการณ์กับงานการดูแลแบบประคับประคองช่วยให้หมอ/พยาบาลเกิดการเติบโตภายใน ได้เข้าถึงคุณค่าในตนเอง จากการได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ผู้เข้าร่วมให้ความสนใจติดตามประเด็น ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ซักถาม และบางคนแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีความสั่นสะเทือนข้างใน ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการบริการทางการแพทย์ที่ไม่ได้ใส่ใจต่อสภาวะจิตใจผู้ป่วยและญาติมากนัก
“ถ้าเรา ‘อยู่ดี’ ก็จะ ‘ตายดี’ good death ไม่มีทางลัด ต้อง live well เท่านั้นเอง”
“เวชศาสตร์ประคับประคองคือการหลอมรวมของวิทยาศาตร์ศาสตร์และศิลปศาสตร์ ต้องอาศัยความร่วมมือของสังคมครอบครัวซึ่งสามารถเกื้อกูลให้เกิดการตายดีได้”
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทสะท้อนจากเจ้าภาพห้องประชุมย่อย
จิตตปัญญาเวชศึกษา ๖๓๗ : เวชศาสตร์ประคับประคอง เมล็ดพันธุ์แห่งจิตใหญ่ในสังคม PART I
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ถึง ๒ มีนาคม ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา สสส.ร่วมกับองค์กรภาคีทั้งหน่วยงานชุมชนจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคประชาชน มาจัดมหกรรมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ เป็นปีที่สอง ที่สามย่านมิตรทาวน์ ภายใต้ชื่อ Soul Connect Fest - HUMANICE มหกรรมพบเพื่อนใจ มีกิจกรรมต่างๆมากกว่า ๒๐๐+ กิจกรรมเกิดขึ้น Topic กว้างขวางครอบคลุมประเด็นทั้งศิลป์สาขาต่างๆ ดนตรี กวี รูปถ่าย วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มีชุมชนที่หลากหลาย กลุ่มจิตอาสาประเภทต่างๆ ธนาคารจิตอาสา กลุ่มอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง กลุ่มอาสาสมัครดูแลคนกลุ่มน้อย คนชายขอบ ผู้ที่ได้รับความไม่ยุติธรรมในสังคม กลุ่มเยาวชน และกลุ่ม LGBTQA+ ฯลฯ
สำหรับตัวเองได้จัดกิจกรรมหนึ่งในงานนี้ คือ "เวชศาสตร์ประคับประคอง เมล็ดพันธุ์แห่งจิตใหญ่ในสังคม" บทความซีรีส์นี้จะเป็นบทสะท้อนว่าได้นำอะไรมาเสนอ และสิ่งที่ได้ตอบรับทั้งตามความคาดหมายและเหนือความคาดหมาย และอาจจะจบลงด้วยบทสรุปในภาพรวม ที่ใช้คำว่า "อาจ" ก็เพราะเรื่องแบบนี้มันน่าจะสรุปไม่ได้มากกว่า
เวชศาสตร์ประคับประคอง เมล็ดพันธฺุ์แห่งจิตใหญ่ในสังคม
ชื่อนี้เป็นการตั้งอย่างจงใจ คือ "เมล็ดพันธุ์" และ "จิตใหญ่" จึงจะขออรรถอธิบายสองคำนี้ก่อน
#จิตใหญ่ ในที่นี้มีสองบริบทตามความหมายส่วนตัวของผมเอง หนึ่งก็คือ "จิตใหญ่แห่งปัจเจก" และสองก็คือ "Collective mindfulness" จิตรวมใหญ่ของชุมชน ของสังคม จิตใหญ่แห่งปัจเจกก็คือ ผมเชื่อว่ามนุษย์นั้นถูกออกแบบมาให้เป็นสัตว์สังคม ที่มากับศักยภาพในการรับรู้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งมีและไม่มีชีวิต และความตระหนักนี้เองยังสามารถเชื่อมโยงกับปัจจัยภายในที่ชุมนุมเป็นร่างกาย เป็นชีวิต กอปรด้วยขันธ์ ๕ และเมื่อไรก็ตามที่เรา "เห็น" ความเชื่อมโยงนี้อย่างถ่องแท้ นำไปบูรณาการกับการใช้ชีวิต จิตหลุดจากกรอบที่วนเวียนอยู่กับ self/อัตตา ได้ เมื่อนั้น จิตก็พัฒนาอยู่บนมรรคาแห่งการเติบโตของ "จิตใหญ่" เมื่อจิตใหญ่ของปัจเจกขยายตัว แพร่พันธุ์จำนวนมากขึ้นจนถึง critical mass มวลวิกฤติของจิตใหญ่ เมื่อนั้นก็จะเกิดระบบการเมืองใหม่ที่ใช้ software ใหม่ เป็น software ของ Empathy, Resilience, Compassion, Forgiving ระบบการเมืองที่ดูแลประชากรอย่างทั่วถึงเท่าเทียม และเจือจางอารมณ์ลบของมนุษย์ให้เบาบางลง ได้แก่ โกรธ เกลียด กลัว หลง โลภ และราคะต่างๆ ระบบการตลาดระดับ ๖.๐ คือ การตลาดเพื่อ survival ของโลก ไม่ใช่เฉพาะของปัจเจกบุคคล การตลาดเพื่อส่งเสริม "ปัญญา" ไม่ใช่แค่สุขภาวะทางกาย
มรรคานี้หรือเส้นทางนี้มีอุปสรรคตามธรรมชาติอยู่มากพอประมาณ เพราะ "อัตตา" และ self นั้น กำหนดพฤติกรรมมนุษย์มายาวนาน จาก mode ของการอยู่เพื่อการอยู่รอด struggle for survival นั้นบรรจุในสัญชาติญาณ เพราะสิ่งแรกที่เราทำอะไรก็ตาม เราต้องมีชีวิตก่อนเสมอ ความสำคัญของการปกป้องชีวิต การมีดำรงชีวิตต่อ จึงเป็นพื้นฐานระบบคิด ความรู้สึก และการเล่าเรื่องของตัวเราเองมาโดยตลอด ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็ถูก install มาด้วย "ศักยภาพ" ที่หลุดพ้นจากกรอบ self หรือ อัตตา นี้ได้เมื่อเราพร้อม คือมีสารอาหาร น้ำ อากาศ มุมมอง การให้ความหมาย และทักษะทื่จะเชื่อมโยงสมรรถนะทุกด้านของตัวเรา ในการเอื้อและเกื้อกูลได้ทั้งตนเองและสิ่งแวดล้อม การประคบประหงมศักยภาพที่ว่านี้ต้องใช้เวลา ความพยายาม และอดทน เป็นเส้นทางการเติบโตที่ยาวไกล เป็นวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตรจบ ดังนั้น การจะไปที่จุด start ได้ ผมจึงเรียกเรื่องนี้ว่าเป็น "เมล็ดพันธุ์" หว่านลงไปแล้ว คนสวนต้องดูแลให้ดี มันจะค่อยๆเติบโต ถ้าได้รับอาหารดีๆ น้ำดีๆ มีคนร้องเพลงให้ฟัง มีคนกล่อม และสั่งสอนดีๆ สักวันเมล็ดพันธุ์นี้ก็จะกลายเป็นไม้ยืนต้น ที่จะเผยแพร่เมล็ดพันธุ์ทำนองนี้ให้ขจรไกลต่อไปใน generations ที่ตามมาในที่สุด
เวชศาสตร์ประคับประคอง (Palliative Medicine) เป็นสาขาเฉพาะทางทางการแพทย์ที่บูรณาการทำงานร่วมกับกลุ่มศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การพยาบาล เภสัช ทันตะ กายภาพบำบัด อรรถบำบัด อาชีวะเวชศาสตร์ รวมทั้งสังคมศาสตร์ด้วย เพราะเป้าหมายของศาสตร์นี้คือ Good Death ซึ่งไม่ได้มาจาก "วิทยาศาสตร์" แต่เป็น integral sciences ของทุกๆ ศาสตร์ บทความนี้จะพยายามวาดเส้นทางของเมล็ดพันธุ์แห่งจิตใหญ่ ผ่านทางเวชศาสตร์ประคับประคอง ด้วยการ narrative ตั้งแต่การออกแบบหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ (พ.บ. แพทยศาสตร์บัณฑิต) การเกิดชุมชนวิชาชีพในการดูแลรักษาพยาบาล (medical community) และการตกผลึกเติบโตของศาสตร์นี้ลงไปในชุมชนภาคเอกชน หรือระดับประชาชน (palliative care in social enterprise)
จิตตปัญญาเวชศึกษา ๖๓๘ : เวชศาสตร์ประคับประคอง "เมล็ดพันธุ์แรก" Part II
Palliative medicine หรือ เวชศาสตร์ประคับประคอง เป็นการ "ปรับดิน" ให้แก่กระบวนทัศน์ความเป็นแพทย์ โดยการ "เพิ่มมิติของสุขภาวะอันเป็นองค์รวม" ให้หยั่งรากลึกซึ้งขึ้น สมรรถนะของวิชาชีพแพทย์จะไม่ได้อิงอยู่บนศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างเดียว แต่ขยายสมรรถนะพื้นฐานในการทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพ (interprofessional practice: IPP) และแบบ collaboration คือร่วมงานกับภาคประชาชนอย่างใกล้ชิด (interprofessional collaboration: IPC)
การทำงานใดๆ ก็ตาม จะมี "ผลลัพธ์" เป็นตัวกำหนดความสำเร็จ และกำหนดวิธีการที่จะทำให้สำเร็จด้วย ในสาขาวิชาชีพแพทย์ทั่วๆ ไป นิยามของพยาธิสภาพและนิยามของปกติ มักจะเป็นนิยามทางการแพทย์ เช่น อย่างไรจะเรียกว่าความดันสูง/ต่ำ/ปกติ อย่างไรจะเรียกไข้/ปกติ อย่างไรจะเรียกว่าน้ำตาลในเลือดสูง/ต่ำ/ปกติ เนื้ออะไรคือธรรมดา เนื้องอกอะไรคือมะเร็ง พอเรื่องเหล่านี้เป็นนิยามจากทางการแพทย์ แพทย์ก็เลยเป็นผู้กำหนดวิธีการรักษา และให้ความหมายว่า อย่างไรเรียกว่าหาย อย่างไรเรียกว่าเรื้อรัง อย่างไรคือไม่หายแล้ว การรักษาก็จะล้อเลียนไปตามกันว่า เมื่อไรจะรักษาด้วยยา ผ่าตัด หรือรังสีรักษา จะต้องเจาะเลือด X-ray กันกี่ครั้งและถี่มากน้อยแค่ไหน ฯลฯ
PALLIATIVE CARE มีการเปลี่ยน "เป้าหมาย"
ผลลัพธ์ของการทำการรักษา palliative care หรือการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองนั้นคือ good death หรือการตายดี การตายดีไม่ได้อิงนิยามทางการแพทย์ แต่มีมิติทางสุขภาวะที่ซับซ้อนกว่านั้นเยอะ เพราะนิยามตายดี สามารถอิงทั้งจากมุมมองของปัจเจกบุคคล ผสมผสานกับมุมมองของชุมชนสังคมอย่างละเอียดอ่อนไปด้วยในภาพรวม รัฐบาลในโลกนี้ที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยคือมาจากการเลือกตั้ง เสียงส่วนใหญ่สะท้อนคุณค่าของประชากรส่วนใหญ่ ถ้าส่วนใหญ่ว่าอย่างไร กฎหมายและแหล่งทรัพยากรก็จะไปลงทุนตรงนั้น นโยบายของสหรัฐอเมริกา ก็จะไม่เหมือนของแคนาดา ของสหราชอาณาจักร ของรัสเซีย หรือของจีน แต่สิ่งหนึ่งที่จะเหมือนกันก็คือ "คนทุกคนอยากตายดี"
พอเป้าหมายผลลัพธ์สามารถเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงได้ทั้งระดับปัจเจกและแบบภาพรวม (ไปถึงสองระดับนี้ก็ยังสามารถย้อนแย้ง ขัดแย้งกันได้ด้วย) บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้กำหนดนิยามความสำเร็จ (ตอนที่โรคยังไม่เข้าระยะประคับประคอง) ตอนนี้ก็ต้องลดบทบาทจากพระเอก นางเอก ลงไปเป็นตัวประกอบ (ยอดเยี่ยม) แทน เพื่อให้พื้นที่พระเอกนางเอกตัวจริง (คนไข้และครอบครัว) มีพื้นที่ มีอำนาจ และอิสระเพียงพอที่จะเป็นผู้กำกับฉากสุดท้ายนี้และเดินทางไปด้วยกัน ความรู้และทักษะและวิธีการในระยะนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงในการฝึกอบรมไปด้วย
จากเดิมหมอจะต้องเข้มข้นทางด้านวิชาการ เป๊ะเรื่องความรู้ที่ทันสมัย การรักษาพยาบาลที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ก็จะต้องเพิ่มความเข้มข้นในอีกมิติของสมรรถนะ ได้แก่ ความอ่อนหวาน อ่อนโยน และอ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะความ "แข็ง" นั้นช่วงชิงพื้นที่ผู้คน "ความอ่อน" เท่านั้นถึงจะให้พื้นที่แก่ผู้คน
ผู้ป่วยระยะประคับประคอง ต้องได้รับการส่งเสริมพลังอำนาจในการกำหนดเป้าหมายการรักษาพยาบาลเพื่อคุณค่าของชีวิตที่มีความหมาย บุคลากรทางการแพทย์เป็นตัวประกอบที่จะช่วยให้พันธกิจนี้ประสบความสำเร็จ ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญทุกสหสาขาวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล เภสัช ทันตะ กายภาพ ฯลฯ ล้วนสามารถมีบทบาทที่จะเอื้อให้เกิดคุณภาพชีวิตและการจากไปอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น Death with Dignity ไม่เคยเป็นผลจากยา ผ่าตัด หรือฉายแสงใดๆ แต่เป็นผลมาจาก เราทุกๆ คนปฏิบัติต่อกันและกันอย่างไรในภาวะที่ยากลำบากของตอนนี้
และที่สำคัญที่สุด การได้เรียนเรื่องเหล่านี้ จะเป็นเมล็ดพันธุ์สำคัญ ในการช่วยให้แพทย์สามารถ "มองเห็นความเป็นไปได้" ของการตายดี ที่อาศัยมิติอื่นๆนอกเหนือจากพยาธิสภาพทางกายจากโรคภัยไข้เจ็บนานาประการ ว่าชาวบ้านสามารถอาศัย "ความหมายของชีวิต" มาใช้สร้างและ "เล่าชีวิตที่ดี" โดยใช้เรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วย บางทีอาจจะถึงขั้นที่สามารถลดอัตตา หรือขยายขอบเขตการมองเห็นและตัดสินคุณค่าของคน ไม่ได้มีเพียงจำนวนบทความตีพิมพ์ ตำแหน่งทางวิชาการ หรือเกียรติยศนานาประการ แต่เป็นอภิสิทธิ์ของวิชาขีพ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้อยู่ในทีมสถาปนิกออกแบบการตายดีให้แก่ผู้คนจำนวนมาก รู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตนในความเล็กน้อยของตนเองเพื่อจะได้รับทราบวาระอันยิ่งใหญ่ที่ได้มาอยู่ตรงนั้น ปฏิบัติหน้าที่นั้นๆให้ดีที่สุดอย่างมีสติ เปิดใจ และอ่อนไหวไปกับอารมณ์ร่วมนั้นได้อย่างมีสติ มีสมาธิ เกิดปัทสัทธิ ปิติ และอุเบกขา เจริญภาวนาตามโพชฌงค์ ๗ ได้
ถ้าหลักสูตรแพทย์จะทำเรื่องพวกนี้จะเป็นอย่างไร?
จิตตปัญญาเวชศึกษา ๖๓๙ : เมล็ดพันธุ์จิตใหญ่ จากบัณฑิตแพทย์สู่ชุมชนสหสาขา Part III
อาจารย์นายแพทย์อรรถกร รักษาสัตย์ (Attakorn Raksasataya) เป็นตัวแทนจากศูนย์การุณรักษ์ Karunruk Pallaitive Care Center โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ที่มี "อาจารย์แม่" รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล เป็นหัวหน้าศูนย์ กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ศูนย์การุณรักษ์เปรียบเสมือนตักศิลาเวชศาสตร์ประคับประคองของประเทศไทย ที่ใครสนใจในศาสตร์นี้ น่าจะมีสักครั้งที่จะจาริก (pilgrim) มาเยือนการุณรักษ์ ศูนย์การเรียนการสอนและ model การดูแลแบบประคับประคองที่มีเครือข่ายครอบคลุมภาคอีสาน (and beyond)
การก่อกำเนิดเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองนั้น เป็นกระบวนตามธรรมชาติ organic อย่างแท้จริง เพราะเนื้องานนั้น ส่วนหนึ่งจะมีความต้องการของตัวผู้ป่วยและครอบครัวที่อยากจะอยู่ที่บ้าน มากกว่าการต้องมานอนที่โรงพยาบาล ศูนย์การุณรักษ์อยู่ในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ คือระดับ super tertiary การเอื้อมมือลงไปทำเรื่องนี้ให้ครบวงจร จึงหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องใช้ระบบเครือข่ายมาช่วย finish the job
แต่เดิมพี่มด (อาจารย์ศรีเวียง) ก็มาทางสายวิชาการ ตามที่ทำงานในโรงเรียนแพทย์ จะทำอะไรเราก็เน้นจัดหลักสูตร จัดฝึกอบรมไว้ก่อน แต่ด้วยความเนื้องานของเวชศาสตร์ประคับประคองนั้น มันสนุกตรงที่ความเป็น "บริบท" มันสูงมาก เป็น authentic contextual mission นั้นจริงแท้แน่นอน รูปแบบ WS หรือกิจกรรมที่จัด จึงค่อยๆ transform จาก academic-centric รวมศูนย์ ไปเป็นกระจายการทดลองปฏิบัติงานไปยังพื้นที่ของผู้เข้าฝึกอบรมเองแทน ผลก็คือ องค์ความรู้ภาคปฏิบัติมีการ integrate ตัวทฤษฎี ไปลองใช้จริงภาคสนามอันมีบริบทต่างๆนานาไม่เหมือนกัน
ถ้าสถาบันไหนคิดจะทำการเรียนการสอน IPE (interprofessional education) ก็จะทราบว่าวิธีที่ดีที่สุด จะต้องเริ่มจากการที่มี IPP (Interprofessional practice) เสียก่อน มันจะถึงเป็น authentic learning ที่แท้จริง และบอกได้เลยว่าจาก model ของการุณรักษ์ สามารถนับได้ว่าเป็นอะไรที่ "จริงแท้แน่นอน" ของการทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพ (หรืออาจจะถึงขั้น Interprofessional collaboration คือ ร่วมมือกันไปกับภาคประชาชนได้เลยในบางกรณี) การที่แพทย์ได้ทำงานร่วมเป็นโปรเจคเดียวกับ palliative care community nurse แพทย์มะเร็งได้พูดคุยกับแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์เฉพาะทางเรื่องความปวด เรื่องไตวายระยะท้าย ฯลฯ เกิดเป็น professional community ภาคปฏิบัติ ที่กำลังแสวงหา outcomes คือ good death ที่เป็นของภาคประชาชนขึ้นมา
เครือข่ายมืออาชีพ palliative care ของภาคอีสานนั้นใหญ่มาก เพราะประชากรภาคนี้มีมากที่สุดในประเทศไทย แต่เมื่อเกิด natural network ของการดูแลผู้ป่วยที่ครอบคลุมทั้งเขตอีสานได้ แสดงว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า เป็นความต้องการตามธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่เกิดจากนโยบาย Topdown แต่เป็น organic demand จากประชาชนและ healthcare community
การที่เราสามารถและพยายามบูรณาการ good death ให้เป็น mission ของ healthcare community สามารถถูกมองเป็นการเติบโตของเมล็ดพันธุ์จิตใหญ่ แสดงว่าเราเริ่มจะ "หยั่งรากวิญญาณมนุษย์ เพื่อผลิใบหัวใจแพทย์" ลงในชุมชนได้แล้ว
จิตตปัญญาเวชศึกษา ๖๔๐ : เวชศาสตร์ประคับประคอง "คืนจิตใหญ่สู่สังคม" Part IV
ศาสตราจารย์นายแพทย์อิศรางค์ นุชประยูร (Issarang Nuchprayoon) อาจารย์แพทย์ของคณะแพทยศาสตรจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยและเป็นผู้อำนวยการของวิสาหกิจ "เยือนเย็น" อาจารย์เป็นศาสตราจารย์เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยากุมารแพทย์ และจากเนื้อหาสาระของงาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญกับ The last request ของผู้ป่วย คือ "ตายดี" แต่ที่ยากและท้าทายกว่านั้นคือ เป็นการ "ตายดีของเด็ก" ซึ่งเป็นอะไรที่ untimely death คือ วาระไม่มีใครคิดว่าเด็กก็จะตายจากเราไปได้เหมือนกัน แต่ request นี้เอง ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของอาจารย์อิศรางค์ เริ่มต้นที่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง กลายมาเป็น "เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม"
การตั้งเป้าหมายจะให้ผู้ป่วยสามารถ "ตายดี" ที่บ้าน ก็เกิดบริบทจำเพาะที่หลากหลาย และเช่นกันเมื่อมี explode of demands ผลพลอยได้ก็คือ ศาสตร์ ทักษะ ความรู้ ที่ผลิดอกออกใบออกผลมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าในการที่จะตายดีนั้น นอกเหนือจากองค์ความรู้ทางการแพทย์ ปรากฏว่าในชุมชนของเราหลายๆ ที่ เป็นแหล่งทรัพยากร "ตายดี" ผุดปรากฏขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
พอบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล เป็นจิตอาสา ลงไปฝึกฝนทักษะข้างเตียงให้แก่ญาติ สมาชิกในครอบครัว หรือใครก็ตามที่เป็น caregiver ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ปรากฏว่าพอผู้ป่วยจากไป ทักษะความรู้ที่ยังติดตัวผู้ดูแลอยู่นั้น สามารถเปลี่ยนมุมมอง เกิดอวัยวะใหม่ มองเห็นศักยภาพใหม่ของตนเองว่า แม้ว่าตนจะไม่ใช่หมอ พยาบาลอะไร แต่เราก็มีความสามารถในการดูแลผู้อื่น ช่วยเหลือให้เขาจากไปอย่างสงบ ในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว เป็นบ้าน และได้เฝ้าดูมองเห็นการตายอย่างมีศักดิ์ศรี อยู่ที่บ้าน แวดล้อมด้วยคนที่ผู้ป่วยรัก และคนที่รักผู้ป่วย มุมมองนี้เป็นเรื่องราวที่ทรงพลังที่สามารถปรับทัศนคติมุมมองชีวิตของผู้คนได้ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและลำดับความสำคัญของเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมาก
นอกเหนือจากเยือนเย็น เราเริ่มมีชุมชนแบบเดียวกัน อาทิ ชีวามิตร ที่มีจิตอาสาและจัดกิจกรรมส่งเสริมเพิ่มพลังในการที่ใครก็ตามในสังคม สามารถเข้ามาเสาะหาแสวงหาศักยภาพที่แท้ที่ตนเองสามารถจะเป็นผู้เยียวยาแก่ผู้อื่นได้
เมื่อถึงจุดๆ นี้ องค์ความรู้ทางการแพทย์ในการรักษาพยาบาล ประคับประคองอาการ ได้กระจายลงไปเป็นองค์ความรู้ของสังคม เป็นปัญญาทรัพย์ส่วนกลางสำหรับทุกๆ คน การเดินทางของเวชศาสตร์ประคับประคองก็ได้ครบวงจรสัมบูรณ์ เมื่อศักยภาพนี้ของมนุษย์ถูกส่งคืนให้แก่ประชาชนทุกคนได้ใช้ในชีวิตจริง
จิตตปัญญาเวชศึกษา ๖๔๑ : SOUL CONNECT FEST 2025 Final Thoughts
#SoulConnectFest บทนี้จะเป็นการสะท้อนและพยายามตกผลึกงาน Soul Connect Fest 2025 ที่ใช้เวลาตระเตรียมมาน่าจะประมาณ ๖-๘ เดือน เป็นงานต่อยอดมาจากครั้งที่หนึ่งที่จัดเมื่อครั้งที่แล้ว
๑) ชอบความหลากหลายและที่มาของ topic ของงานในปีนี้ จาก Essay ของศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี From Confrontation to Collaboration เปิด theme ด้วยความทุกข์ที่ชัดเจนของสังคมในปัจจุบันที่มาจาก "ความขัดแย้ง" ตัวตน/อัตตา และความไร้สมรรถนะในการเผชิญหน้าและอยู่ร่วมกับความแตกต่าง ที่ยุคปัจจุบันถูกนำมาวางใกล้กันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผมคิดว่างานนี้ did pretty good job ในการนำเสนอความทุกข์หลากหลายนำขึ้นมาสู่พื้นผิว เปิดบทสนทนาได้ ทั้งความอยุติธรรมในสังคม สังคมเหลื่อมล้ำ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แฝงอยู่ในทุกๆ อณู ประเด็น LGBTQA+ ความฝันของเยาวชนวัยรุ่นและบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม กลุ่มจิตอาสา ศาสตร์การแพทย์ เวชศาสตร์ประคับประคอง มิติจิตวิญญาณของครูแพทย์ ศาสตร์แห่งแม่มด การนำมิติจิตวิญญาณลงไปใน Business sector ระดับร้อยล้าน พันล้าน การนำเอาศิลปะทางดนตรี กวี วรรณกรรม มาหล่อเลี้ยงเยียวยาจิตวิญญาณ
๒) ที่ชอบและทึ่งมากกว่าคือ "รายละเอียดในกิจกรรม" ที่ยากแก่การสรุปเชิงระบบ ผมดีใจที่ค้นพบเด็กรุ่นใหม่ที่รู้จักตนเอง วินิจฉัยความพร่องของตนเองได้ แต่ไม่ได้หมดหวัง กลับมองเห็นศักยภาพด้านอื่นๆ ของตัวเองได้ชัดขึ้นและยอมรับใน vulnerability ของตนเองได้ พูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ (ซึ่งผมส่วนตัวคิดว่า ผู้ใหญ่บางคนยังทำไม่ได้เลย)
๓) Listening Cafe ที่ฮิตนิยมมากในงาน คนที่แสวงหาพื้นที่ที่มีคนมา "ฟังดีๆ" ดูเผินๆ เป็นกิจกรรม gimmick แต่ไม่ใช่เลย กลายเป็นพื้นที่กอดกันเยอะมาก พื้นที่ที่น้ำตาแห่งความเปราะบางได้ไหล free flow มี healing เกิดขึ้นจริง real-time สะท้อน needs ของสังคมในภาพรวมได้ระดับหนึ่งว่าสังคม "ขาด" การฟังดีๆ มากเพียงไร ในขณะที่อุดมไปด้วย "เรื่องที่ต้องการเล่า/ระบาย" มากเพียงไร แต่ไม่มีที่ Skills และพื้นที่สำหรับ Samaritan จะช่วยสังคมอย่างไรได้บ้าง in time we most need ในเวลานี้
๔) ในส่วนงานด้าน palliative care เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่พบว่าคนจำนวนมากต้องการแต่ไม่ทราบว่ามี service เรื่องนี้ available แล้วในประเทศไทย เพราะการประชาสัมพันธ์น่าจะตอบโจทย์ได้ไม่ยาก และแก้ pain points ได้หลายเรื่องอย่างรวดเร็ว
๕) องค์กรการศึกษาน่าจะขยับเรื่องความสำคัญของสุขภาวะทางจิตวิญญาณมากขึ้นจากกระแสของตอนนี้ คิดว่าเราทำ a good job ในการ raise awareness of suffering of spiritual health และประโยชน์ที่จะได้จากการรณรงค์สนัยสนุนเรื่องนี้ในระดับนโยบายและยุทธศาสตร์
๖) ดูแล้ว อยากจัด Listening cafe หรือ WS กอดกันบ้าง แต่ list รายการขององค์กรน่าจะยาวเต็มข้ามปีไปแล้ว
๗) เวลาดูจะมีไม่พอกันสัก session เดียวเลย เพราะเรื่องราวมันต้อง "เล่า" อันนี้ก็น่าจะพิจารณาไปใช้สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งต่อๆ ไปว่า "ลูกค้ากลุ่มนี้" มีจริตชอบงานแบบไหน
๘) กิจกรรมเหนือความคาดหมายอีกอันคือ booth ถ่ายรูป portrait of life ของพี่ตุ่ย Thamrongrat Boonparyol อันนี้น่าทึ่งมาก เพราะสนใจในเรื่องการถ่ายรูป portrait มานานแล้ว พอได้คุยกับมืออาชีพยิ่งทึ่งมากขึ้นไปอีก รูปถ่ายสามารถ "เล่าเรื่อง" ได้เยอะ และ capture MOMENT of life ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พี่ตุ่ย inspire ให้เกิดความอยากเล่นถ่ายรูปมาอีกครั้งนึงหลังจากปล่อยวางไปนานแล้ว อย่างน้อยๆ งานนี้ก็ได้รูป profile ไว้ใช้ได้อีกนานแน่ๆ
Look forward to The Next One already!!!









Comments