T3-4 | เสวนากลุ่มย่อย “จิตวิญญาณผู้ดูแล”
- Jitwiwat
- Apr 14
- 2 min read
Updated: Aug 23
28 ก.พ. 68 10:00-12:00 น. ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ: วรรณา จารุสมบูรณ์ กลุ่ม Peaceful Death และประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา
วิทยากร: ไขศรี วิสุทธิพิเนตร ศรีสุรางค์ ตันติมาวานิช รุ่งจุรี กลัดภิบาล ธนภร โรจนปุณยปรีดา
ฐิติกา นิลเลิศ อนัญญา ผลจันทร์ และ เจนจิรา โลชา
ผู้ดำเนินรายการ: วรรณา จารุสมบูรณ์
ผู้ดูแลคือคนสำคัญในการดูแลความเจ็บป่วย การตาย และความสูญเสีย ต้องทำงานต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอน และถูกคาดหวังให้รับมือกับการดูแลทั้งผู้ป่วยและความต้องการของคนรอบข้าง ทั้งครอบครัว ญาติ บุคลากรสุขภาพ และความคาดหวังของตนเองที่อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ความคาดหวังเหล่านี้กดทับลงมาจนเกินรับไหว ทว่าก็ไม่อาจหยุดพัก เรียกร้อง ระบายความรู้สึก หรืออนุญาตให้ตนเองอ่อนแอ
ขอเชิญชวนมาร่วมรับรู้ความรู้สึกในหัวอกผู้ดูแล และตระหนักถึงคุณค่าของงานนี้ คนคนนั้นอาจเป็นครอบครัว คนที่จ้างมา หรือตัวคุณเอง และร่วมออกแบบระบบสนับสนุนที่คำนึงถึงจิตวิญญาณของผู้ดูแล ที่ต้องการการดูแลในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
นำเสนอคุณค่า ความหมาย และความสำคัญของผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในมิติต่างๆ ผ่านการบอกเล่าประสบการณ์ตรงของคน 4 กลุ่ม คือ 1. ผู้ดูแลผู้ป่วยที่เป็นครอบครัวหรือญาติใกล้ชิด 2. ผู้ดูแลในชุมชน หรืออาสาสมัครชุมชน 3. ผู้ดูแลอาชีพ หรือผู้ดูแลที่ไม่ใช่คนในครอบครัว 4. ผู้ดูแลในระบบสุขภาพ (โรงพยาบาล) แบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกร่วมในความเป็น หรือ เคยเป็น หรือ กำลังจะเป็น ‘ผู้ดูแล’ ในอนาคตอันใกล้ ให้เสียงของผู้ดูแลได้ถูกรับฟัง และรวบรวมเสียงของผู้ดูแล เพื่อนำไปเสนอภาครัฐให้เกิดการผลักดันนโยบายที่สนับสนุนสุขภาวะ หรือ Wellbeing ของผู้ดูแล ในฐานะผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญของชุมชนและสังคมโดยรวม
ผู้ดูแลคือหัวใจของการตายดีของผู้ป่วยระยะท้าย ภาระงานของผู้ดูแลไม่ว่าจะในกลุ่มใดล้วนหนักหนา หลายครั้งที่ความเหน็ดเหนื่อยของผู้ดูแลถูกกดทับทั้งโดยตนเอง ชุมชน และสังคม ไม่ค่อยจะมีพื้นที่ในสังคมที่เปิดโอกาสให้เสียงของผู้ดูแลได้ถูกรับฟังอย่างแท้จริง
ข้อสรุปหลักๆ ที่ได้จากการเสวนา ได้แก่
กลุ่มผู้ดูแลในครอบครัว พบกับความยากในการรับมือกับผู้ป่วย (เนื่องจากไม่ใช่มืออาชีพ) การจัดการความขัดแย้งภายในสมาชิกครอบครัว การละเลยการดูแลตัวเอง
ปัญหาที่พบในกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นอาสาสมัครชุมชน ผู้ดูแลอาชีพ และผู้ดูแลในระบบสุขภาพ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับนโยบาย ระบบ การจัดการดูแลผู้ดูแลที่ไม่เหมาะสม ภาระงานที่มากเกินไป สวัสดิการและค่าตอบแทนไม่เพียงพอ
สิ่งสำคัญที่ได้จากเสวนากลุ่มย่อยนี้คือเสียงของผู้ดูแลได้นับการได้ยินและได้ถูกรวบรวมเพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการผลักดันภาคสังคมให้เกิดนโยบายการสนับสนุนและดูแลผู้ดูแลให้มากขึ้นหรือดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งในด้านสุขภาพกายและใจ ด้านทักษะความรู้ในการดูแล สวัสดิการและค่าตอบแทน รวมไปถึงภาพใหญ่คือการเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎหมายเพื่อสนับสนุนสุขภาวะของผู้ดูแลทั้งทางกายและใจ
คุณค่าที่ได้จากการเสวนานี้คือการที่ประสบการณ์ความทุกข์ยากได้รับการรับฟัง สร้างอารมณ์ร่วมและพลังแห่งความเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ดูแลในครอบครัว ทำให้เกิดความเข้าใจ การกำลังใจซึ่งกันและกัน และเกิดความหวังและการร่วมมือในกลุ่มผู้ดูแลอาชีพ และผู้ดูแลในระบบสุขภาพ จนเกิดการส่งต่อการให้การดูแลนี้แผ่ขยายไปในวงกว้างภายในชุมชนและสังคม
หัวใจที่เปิดกว้างในการดูแลผู้ป่วยซึ่งเป็นคนในครอบครัวและเป็นคนสำคัญในชีวิต หรือเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมทุกข์ ทำให้เกิดสันติในใจ และส่งต่อสันติภาวะสู่ครอบครัว ไปจนถึงทีมทำงานในการดูแลผู้ป่วยในระบบสุขภาพ
การดูแลด้วยใจบริสุทธิ์และเสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นการฝึกฝนตนในการเป็นผู้ดูแลในระดับจิตวิญญาณ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ได้สัมผัสรับรู้ถึงสภาวะความ ‘เป็น’ นั้นได้ดำเนินรอยตามต่อไป
บรรยากาศในวงสนทนาผู้เข้าร่วมให้ความสนใจในการรับฟังประสบการณ์จากแขกรับเชิญ การคุยเป็นวงย่อยทำให้รู้สึกเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย เกิดการสื่อสารสองทางได้ง่ายและเป็นธรรมชาติ ทั้งการแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ที่เป็นข้อมูลความรู้ และอารมณ์ความรู้สึกร่วม มีการโอบกอดให้กำลังใจกัน เชื่อมโยงกันด้วยหัวใจกรุณา อันเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
จิตวิญญาณผู้ดูแล : ฟื้นคืนคุณค่าสู่การเยียวยาตนเองและสังคม
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด อายุขัยเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่ที่ประมาณ 77 ปี ส่งผลให้ผู้สูงอายุต้องใช้ชีวิตอยู่ในภาวะพึ่งพิงนานถึง 8-10 ปีในช่วงท้ายของชีวิต ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคสมองเสื่อม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ขณะที่อัตราส่วนผู้ดูแลต่อผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในครอบครัวขนาดเล็กและในชุมชนเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการ “ผู้ดูแล” ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพของการดูแล
จากประสบการณ์ในพื้นที่ชุมชนกรุณาหลายแห่งพบว่า ปัจจุบันผู้ดูแลรับบทบาทหนักมากและเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลในครอบครัว ผู้ดูแลในชุมชน ผู้ดูแลในระบบสุขภาพ ผู้ดูแลในสถานพยาบาลเอกชน รวมถึงผู้ดูแลอาชีพหรือผู้ดูแลรับจ้าง พวกเขาเหล่านี้ต้องเผชิญกับภาระทั้งทางร่างกายและจิตใจ ท่ามกลางระบบสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ ความเครียด ความโดดเดี่ยว ความรู้สึกไร้คุณค่าและต้องดิ้นรนเอาตัวรอดโดยลำพัง ทำให้จิตวิญญาณของผู้ดูแลจำนวนมากกำลังอ่อนล้า ไร้พลัง กระทั่งไม่อยากใส่ใจผู้คนอีกต่อไปเพราะไม่อาจแบกรับความทุกข์ได้มากไปกว่านี้ บ้างก็มีภาวะซึมเศร้า หรือเจ็บป่วยจากภาวะเครียดสะสม
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราและสังคมจะร่วมรับผิดชอบเพื่อฟื้นคืนคุณค่าของการดูแลและช่วยกันออกแบบระบบสนับสนุนที่คำนึงถึงจิตวิญญาณของผู้ดูแลที่ต้องการการดูแลในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
บทบาทผู้ดูแล : จิตวิญญาณที่เลือนหาย
ผู้ดูแลคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลความเจ็บป่วย การตาย และความสูญเสีย ซึ่งเป็นการดูแลที่ต่อเนื่อง ยาวนาน และเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา ผู้ดูแลจึงมักถูกคาดหวังให้รับมือกับการดูแลร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และความต้องการของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติพี่น้อง และบุคลากรสุขภาพ กระทั่งความคาดหวังของตัวผู้ดูแลเองที่อยากจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ความคาดหวังเหล่านี้กดทับลงมาบนตัวผู้ดูแลทีละเล็กละน้อยโดยไม่รู้ตัว จนยากจะรับมือไม่ไหว แต่ผู้ดูแลส่วนใหญ่ไม่สามารถหยุดพัก ไม่สามารถเรียกร้อง ไม่มีพื้นที่ได้ระบายความรู้สึก หรือกระทั่งไม่อนุญาตให้ตนเองอ่อนแอ เมื่อผู้ดูแลไม่สามารถเชื่อมโยงกับคุณค่าของการทำหน้าที่ดูแลอย่างที่วาดหวังไว้ จิตวิญญาณที่เคยอิ่มเต็มจึงค่อยๆ ลบเลือนไป กลายเป็นภาระและหน้าที่ที่ไม่วันจบสิ้น
อย่างไรก็ดี การดูแลไม่ได้มีเพียงด้านลบ หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยพลังการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการเยียวยาร่วมกันระหว่างผู้ดูแลและผู้ป่วย ซึ่งในบทความนี้จะพาไปสำรวจ “จิตวิญญาณของผู้ดูแล” ผ่านประสบการณ์ตรงของผู้ดูแลที่หลากหลาย พร้อมเสนอแนวทางการฟื้นฟูคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้ดูแลในสังคมไทย
เมื่อการดูแลคือการเยียวยาทั้งสองฝ่าย
ผู้ดูแลจำนวนมากเล่าว่า พวกเขาเริ่มต้นด้วยความจำเป็น เพราะไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นที่จะมาทำหน้าที่นี้ บ้างก็เข้าสู่งานอาสาโดยไม่คาดคิด ในช่วงระยะแรกอาจมีความหงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจหรือไม่เข้าใจกันบ้าง แต่เมื่อได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ได้ใช้หัวใจใจการดูแล ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวผู้ป่วย หลายคนบอกว่า นี่คือการ “ปลดล็อคบางอย่างในตนเอง” ได้เรียนรู้การให้อภัย ความเมตตา และการอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบ ได้เห็นและยอมรับทั้งความเปราะบางของผู้ป่วยและตนเองในฐานะมนุษย์ที่ต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตน
แม้จะมีความเหนื่อยล้า ความคาดหวังจากครอบครัวหรือสังคม แต่หลายคนเลือกที่จะ “เปลี่ยนมุมมอง” วางความคาดหวังลง มองเห็นความสุขเล็กๆ ของผู้ป่วยเป็นจุดหมาย และตระหนักรู้ว่า “เราไม่ได้อยู่คนเดียว” โดยเฉพาะการมีคนรับฟัง มีเพื่อนที่คอยสนับสนุน ให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้างเราเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการฟื้นคืนพลังใจ
ภาระที่มองไม่เห็น : ความท้าทายของผู้ดูแล
เบื้องหลังรอยยิ้มของผู้ดูแลในชุมชนหรือผู้ดูแลรับจ้าง มักซ่อนภาระที่ยากจะอธิบาย เช่น การอดนอน การรับมือกับความหงุดหงิดของผู้ป่วย หรือการถูกคาดหวังมากเกินไปจากนายจ้าง บางครั้งแม้แต่เรื่องเล็กน้อย เช่น ไม่มีข้าวกิน ไม่มีเวลาพัก ไม่มีวันหยุด ฯลฯ ก็ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจอย่างยิ่ง ผู้ดูแลจำนวนมากไม่มีสิทธิลาหยุด ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม หรือแม้แต่การเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพจิตก็ยังจำกัด ผู้ดูแลหลายคนหวังเพียงให้รัฐหรือชุมชน “มองเห็น” และยอมรับว่า งานดูแลคือ “งานที่มีคุณค่า” และควรได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านนโยบาย กฎหมาย และสวัสดิการ
ผู้ดูแลรับจ้างบางคนเล่าว่า หลายครั้งการจ้างงานไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ แต่ก็พยายามอะลุ่มอะล่วย เพราะสงสารผู้ป่วยที่จำเป็นต้องมีผู้ดูแล นายจ้างบางคนมีความหวาดระแวงติดกล้องวงจรปิด หรือคอยมาจับจ้องผู้ดูแลว่าทำงานเต็มที่หรือเปล่า บ้างก็มีญาติหลายคนแต่ละคนก็ให้ทำไม่เหมือนกัน รวมถึงไม่ไว้วางใจในการทำหน้าที่ของผู้ดูแล ทำให้อึดอัดบ้างแต่ก็พยายามข่มใจไม่ตอบโต้ และค่อยหาโอกาสสื่อสารทำความเข้าใจด้วยเหตุและผลในภายหลัง ในขณะที่นายจ้างก็ให้เสียงสะท้อนว่าบางครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรกับผู้ดูแลที่จ้างมาเหมือนกันเพราะเป็นเรื่องที่คนในครอบครัวก็ไม่มีประสบการณ์ หากมีหลักการหรือมาตรฐานบางอย่างที่รับรู้ร่วมกันทั้งสองฝ่ายก็น่าจะช่วยให้การทำหน้าที่ดูแลมีความราบรื่นและเกื้อกูลกันได้มากขึ้น
การฟื้นคืนคุณค่า : สร้างระบบสนับสนุนจากหัวใจสู่โครงสร้าง
จากเสียงของผู้ดูแลหลากหลายกลุ่ม มีข้อเสนอที่น่าสนใจจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นถึงแนวทางในการเสริมพลังผู้ดูแล และมีระบบสนับสนุนที่ช่วยให้การดูแลเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น
การจัดตั้งกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Support) หรือกลุ่มเยียวยาใจสำหรับผู้ดูแล
การอบรมทักษะเฉพาะทางที่เข้าใจง่าย เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
การมีหมอพี่เลี้ยงหรือระบบให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่าย
การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนผู้ดูแลในชุมชน เช่น กองทุนสวัสดิการ กองทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลาน
การออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิผู้ดูแล เช่น พ.ร.บ.ผู้ดูแลหรือนักบริบาล การจัดทำมาตราฐานอาชีพผู้ดูแล
ท่ามกลางวิกฤติผู้ดูแลหรือขาดแคลนผู้ดูแล มีแนวคิดหนึ่งที่สำคัญและน่าจะเป็นทางออกได้ กล่าวคือ “การทำให้การดูแลเป็นเรื่องของสังคม ไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง” ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง คนในครอบครัว หรืออาสาสมัคร ทุกคนสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลได้ตามศักยภาพของตน และควรมีพื้นที่ให้เรียนรู้ เติบโต และเยียวยาร่วมกัน
สู่สังคมแห่งการดูแล
จิตวิญญาณผู้ดูแลไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้จากตำราเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากการเปิดใจ รับฟัง แลกเปลี่ยนและร่วมมือกันในระดับปัจเจก ชุมชน และสังคม รวมถึงการมีกฎหมายหรือนโยบายระดับประเทศ หากสังคมใดเข้าใจและให้คุณค่ากับผู้ดูแลอย่างแท้จริง สังคมนั้นย่อมมีพื้นฐานของความเห็นอกเห็นใจ การแบ่งเบาภาระ และการเยียวยา เพราะเมื่อผู้ดูแลได้รับการดูแลด้วย เราจึงสามารถสร้าง “นิเวศแห่งการดูแล” ที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง









Comments