top of page

T3-2 | วงสนทนาระหว่างศาสนา “แก่นแท้ของศาสนาที่เชื่อมั่นด้านสว่างของความเป็นมนุษย์”

Updated: Aug 23

27 ก.พ. 68 15:15-17:00 น. เวทีกลาง สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ: ศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา ร่วมกับ ศ.กิตติคุณ ดร.สุวรรณา สถาอานันท์ 

นำสนทนา: พระปัญญาวัชรบัณฑิต (สมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร) มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, บาทหลวงวิชัย โภคทวี ศูนย์พัฒนาจิตวิญญาณและภาวะผู้นำเซเวียร์, ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

และ อาจารย์สดใส ขันติวรพงศ์

ผู้ดำเนินการสนทนา: ศ.กิตติคุณ ดร.สุวรรณา สถาอานันท์



สำหรับหลายคน “ศาสนา” อาจอยู่ในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายผ่านการเลือกกรอกในทะเบียนราษฎร์ แต่ในชีวิตประจำวันยังอาจหยั่งลงไปไม่ถึงความหมายที่เป็นแก่นแกนศาสนาของเราเอง


พื้นที่วงสนทนาระหว่างศาสนา (Interfaith Dialogue) นี้ ชวนทุกคนกลับสู่ความหมายลึก ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ ที่ศาสนาหลักของโลกคือ พุทธ คริสต์ อิสลาม และฮินดู มีร่วมกัน จากผู้นำเสวนาทั้ง 5 ท่านที่ศึกษาและปฏิบัติตามหลักศาสนาและเคารพในความดีงามของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เพื่อจุดประกายจากหัวใจแกนกลางความเป็นมนุษย์ และค้นพบพลังสว่างไสวจากภายในที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ




ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม




สรุปใจความสำคัญ


นำเสนอถึงจุดร่วมของทุกศาสนาที่ชี้ลงไปให้เห็นแก่นแท้คือความดีงามพื้นฐานของมนุษย์ กล่าวคือ ศาสนาทุกศาสนาเชื่อมั่นในด้านสว่างของมนุษย์ และมองว่ามนุษย์มีศักยภาพในการทำดีและเติบโตทางจิตวิญญาณผ่านการมีความรักความเมตตาและการฝึกจิต  ทุกศาสนาสอนให้มนุษย์เชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งสูงสุด แทนที่จะแบ่งแยกกันหรือมุ่งเน้นไปที่ข้อผิดพลาด  นอกจากนี้ ศาสนาและวิทยาศาสตร์ต่างสะท้อนความจริงเดียวกัน นั่นคือการตระหนักว่าทุกชีวิตเชื่อมโยงกัน  และหนทางของมนุษย์ที่แท้คือการกลับคืนสู่ความดีงามภายในตนเอง

 

ปัญหามักเกิดจากการตีความศาสนาแล้วแยกศาสนาธรรม (แก่น) ออกจากศาสนา (สถาบัน)  สิ่งนี้มาจากการได้รับอิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรมตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  สังคมมีส่วนในการสร้างเนื้องอกของศาสนาซึ่งเป็นเปลือก แต่นั่นยังไม่ใช่แก่นแท้ของศาสนา  อีกนัยหนึ่ง ศาสนาอาจสร้างความขัดแย้ง แต่แก่นธรรมไม่มีความขัดแย้งเพราะทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อพัฒนาศักยภาพในการตื่นรู้ของมนุษย์  และที่ผ่านมา เรามักมองเห็นความดำมืดของมนุษย์ทั้งภายในตนเองและผู้อื่น มากกว่าจะมองเห็นแสงสว่างและศักยภาพ

 

ผู้นำสนทนาต่างแบ่งปันความรู้ความเข้าใจจากมุมมองที่แต่ละท่านมี  และเปิดโอกาสให้ผู้รับฟังได้ซักถามเพื่อเรียนรู้มุมมองของแต่ละศาสนาที่มีต่อประเด็นต่างๆด้วย

 

  • นักคิดหลายคนกล่าวถึงการค้นพบพระเจ้าผ่านธรรมชาติ  ศาสนาและวิทยาศาสตร์ก็พยายามพูดถึงสิ่งเดียวกันว่า พระเจ้าเป็นจิตสากลที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง  ทุกคนมี “ธาตุทิพย์” อยู่ภายในซึ่งเป็นแสงสว่างของพระเจ้า  และเราทุกคนต่างดำรงอยู่ในอณูของพระเจ้าตลอดเวลา  ผู้ที่ตระหนักถึงสิ่งนี้ก็จะสัมผัสได้ถึงสภาวะ Open Awareness ซึ่งก็คือการอยู่ร่วมกับพระเจ้า


  • เจ้าชายสิทธัตถะได้ตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของชีวิตแล้วออกแสวงหาความจริง นำมาสู่การตรัสรู้และคำสอนที่ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมี Buddha Nature คือศักยภาพในการตื่นรู้ภายในตนเอง และการมีความเมตตากับความเป็นพี่เป็นน้องนั้นไม่จำกัดด้วยศาสนา อีกทั้งไม่จำกัดแค่ในมนุษย์เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงทุกสรรพชีวิต


  • “พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามฉายาของพระองค์” แล้วมอบอำนาจให้แก่มนุษย์ไว้เพื่อ “รับใช้” เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  นี่จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่มนุษย์จะสามารถดำเนินชีวิตบนการเห็นคุณค่าและศักยภาพในการใฝ่ดีของตนเอง  นั่นคือ แบ่งปันแก่ผู้อื่น ช่วยให้ผู้อื่นได้พัฒนาตัวเขาเอง ดูแลธรรมชาติ และเชื่อมโยงกับสิ่งสูงสุด


  • มนุษย์ถูกสร้างขึ้นอย่างสูงส่งให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนโลก  พระองค์เป่าวิญญาณลงไปในดินโคลนที่ประกอบสร้างขึ้นเป็นมนุษย์  มนุษย์มาจากความหลากหลายที่มีทั้งดีและชั่ว แต่ศาสนาสอนให้เชื่อมั่นในด้านสว่าง เช่นให้อภัยคนที่เคยทำร้ายเรา เคารพความเชื่อที่แตกต่าง เห็นอกเห็นใจและให้เกียรติเพื่อนต่างศาสนา

 

“คนที่ทำความดีไม่ต้องกลัว เพราะความดีคือพลังที่ทำให้เรามีศักยภาพและยกระดับชีวิต

การบูชาวัตถุไม่ใช่หนทางที่แท้จริง เราควรกลับมายึดมั่นในพลังแห่งคุณความดีและสิ่งที่ถูกต้อง”

 

 

คำถาม:

“พระพุทธเจ้ากล่าวว่าตนเองเป็นผู้ชี้ทาง ในขณะที่พระเยซูบอกว่าตนเองคือหนทาง ตกลงอันไหนถูก”

 

บาปก็คือการยิงไม่ตรงเป้าคือการออกจากหนทาง  ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่าพระองค์คือทาง ก็คือความพยายามที่จะทำให้คนเราไม่พลาดเป้า, ทางขึ้นเขาอาจมีได้หลายทาง และอาจขึ้นเขากันคนละลูก แต่ทุกคนที่ขึ้นไปได้ถึงที่สูงก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากการได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างบนนั้น,  อย่างไรก็ดี ความพยายามที่อยากได้ความชัดเจนอย่างสัมบูรณ์ เช่นวิธีการไหนกันแน่ เช่นนี้อาจมีผลสกัดปัดทิ้งบางสิ่งบางอย่างอยู่

 

คำถาม:

“ในโลกของปัจเจกกับโลกของสังคม มิติของศาสนาควรมี Impact ต่อสังคมด้วยหรือไม่”

 

แก่นแท้ภายในของมนุษย์จะเป็นรากฐานของสังคมที่ดี อย่างเช่น การมีประชาธิปไตย เป็นการสะท้อนว่าภายในตัวเรามีแสงสว่างที่เชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพ มีความดีงาม และมีอิสรภาพ ดังนั้น โลกทั้งสองจีงไม่แยกขาดกัน

 

แก่นแท้ของศาสนาที่เป็นไปเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณสู่การตื่นรู้นั้น ทำให้เกิดมุมมองว่าเราทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ที่มีความดีงามอยู่  ซึ่งนำไปสู่ความสงบสันติ ความหวังและการร่วมมือที่จะข้ามพ้นความแตกต่างได้

 

 

ความรักคือหัวใจของทุกศาสนา ที่เอาชนะอัตลักษณ์อันดิ่งเดี่ยวที่คับแคบ

เพราะ "โคมไฟนั้นอาจแตกต่างกัน แต่แสงสว่างคือแสงเดียวกัน"



ผู้เขียน    ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68






บทสะท้อนจากเจ้าภาพเสวนาระหว่างศาสนา

“แก่นแท้ของศาสนาที่เชื่อมั่นด้านสว่างของความเป็นมนุษย์

 


แรงบันดาลใจ

 

บางประสบการณ์สมัยมัธยมปลายในวิชาพุทธศาสนา เป็นการเรียนที่รู้สึกเหมือนถูกบังคับท่องเพื่อการสอบ พุทธประวัติและหลักธรรมต่างๆ เช่น อปริหานิยธรรม 7 สาราณียธรรม 6 สังคหวัตถุ 4 ฯลฯ  เกิดคำถามในสมัยเรียนว่า “เราท่องสิ่งเหล่านี้ไปเพื่อ?  เกี่ยวอะไรกับชีวิตนะ? ” เป็นคำถามที่มีอารมณ์พุ่งแรงตามประสาวัยรุ่น คำถามไร้คำตอบเหล่านี้ติดค้างในใจอยู่หลายปี ประกอบกับความรับรู้ทางสังคมจากภาพข่าวความประพฤติที่ไม่น่าศรัทธาของพระสงฆ์องค์เจ้า รวมถึงความขัดแย้งทางศาสนาบนหน้าสื่อทั้งต่างประเทศและบ้านเราที่ขยายตัว เป็นเหตุแห่งความเห็นต่าง กระทบกระทั่งจนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศที่ยังคุกรุ่นอยู่  ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมคนรุ่นใหม่ไม่นับถือศาสนา ศาสนาไม่ใช่คำตอบของชีวิต

 

จากคำถามคับข้องใจเดินทางสู่การเห็นคำตอบ ผ่านการทำงานกิจกรรมทางสังคม สัมผัสชีวิตผู้คนหลากหลายจากยอดดอยถึงทะเล ต่างประเทศ ต่างชาติพันธุ์ ต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างอุดมการณ์ทางสังคมการเมือง ได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้นำชุมชมผู้อุทิศตนเพื่อผู้อื่น ค้นพบว่าต่างล้วนมีวิถีการฝึกฝนจิตใจบนพื้นฐานศาสนาธรรมที่แม้ต่างๆ กันไป ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือภูมิปัญญาดั้งเดิมอย่างการเคารพธรรมชาติ เคารพผืนโลก การนับถือผีของชนเผ่า 

 

บางคำตอบค่อยๆ ปรากฏขึ้นผ่านประสบการณ์ตรงในคอร์สปฏิบัติธรรม เพื่อการพัฒนาบุคลากรครูของโรงเรียนทางเลือกแนวพุทธ พบว่าการฝึกสติมีผลโดยตรงต่อการจัดการอารมณ์โกรธ ช่วยให้ครูสามารถจัดการปัญหาภายในห้องเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ถูกจำกัดจากความโกรธที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ที่นักเรียนตัวป่วนตั้งใจดีช่วยลบกระดานในสิ่งที่ครูเขียนการเตรียมสอนมาทั้งคืน เหตุการณ์นั้นเป็นประจักษ์ได้ถึงพลังของการฝึกฝนจิตใจจากคอร์สปฏิบัติธรรมว่ามีผลโดยตรงต่อการงานอันเป็นที่รักที่เรียกว่า การเรียนการสอน 

 

ศาสตร์การฝึกฝนจิตใจที่มีผู้ค้นพบส่งทอดมรดกภูมิปัญญาอย่างมีหลักการเป็นระบบ หนึ่งในนั้นคือหลักธรรมในศาสนาหรือ“ศาสนธรรม”ที่เป็นแก่นแกนของ “ศาสนา”อันหมายถึงสถานบันทางสังคม ประเพณี  พิธีกรรม คณะนักบวช การปกครองสงฆ์ ความเข้าใจนี้จะช่วยให้เราแยกสองคำนี้ว่าไม่ใช่ความหมายเดียวกัน

 

และจากประสบการณ์ของการเดินทางด้านใน ในฐานะนักศึกษาจิตตปัญญาศึกษาที่ให้ความสำคัญกับหนทางอันหลากหลายในการพัฒนามิติภายในหรือมิติจิตวิญญาณ อาทิ จิตวิทยาเชิงบวก การฟังอย่างลึกซึ้ง การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การเขียนสะท้อนตนเอง ศิลปะด้านใน งานอาสา ศิลปะป้องกันตัว โยคะ ฯลฯ ในท่ามกลางวิธีการหลายอย่างนี้ เราตระหนักรู้ว่ามีศาสนธรรมเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนามิติจิตวิญญาณ  แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนมิติจิตวิญญาณในระดับโลกล้วนมีรากฐานมาจากศาสนาธรรม อย่างทฤษฎีตัวยูของ ออตโต ชาร์เมอร์ ประยุกต์จากการฝึกวิปัสสนาในพุทธศาสนา หรือทฤษฎีความฉลาดทางอารมณ์ที่ทำให้ Soft Skill กลายเป็นที่ยอมรับของศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HR) เป็นทฤษฎีที่พัฒนาต่อจากผลการศึกษาระดับปริญญาเอกของเดเนียล โกแมน ที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝึกปฏิบัติกับคุรุทางจิตวิญญาณในศาสนาฮินดู

 

เพื่อให้ในสังคมได้รับรู้ถึงคุณค่าของศาสนาธรรมที่เป็นหนทางสำคัญหนึ่งในการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญา เป็นไปได้ไหมที่จะมีหัวข้อประชุมวิชาการที่จะสื่อสาร ทะลุจากเปลือกของรูปแบบศาสนาพุ่งสู่แก่นแท้ของศาสนาธรรมในแต่ละศาสนาที่เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ที่มีความรัก เมตตา บริสุทธิ์ แผ่ไพศาล กระจ่าง สว่าง เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของจิตใจ และมีศักยภาพที่กลับไปสู่คุณสมบัติพื้นฐานนี้ได้ในทุกคน ซึ่งมีหนทางฝึกฝนจิตใจและมีวิธีการอันหลากหลายให้ได้เรียนรู้ฝึกฝน ทดลอง จนค้นพบแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง ด้วยความตั้งใจต่อการสร้างความตระหนักรู้นี้ต่อคนในสังคม ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของหัวข้อในการจัดประชุมย่อยสนทนาระหว่างศาสนา “แก่นแท้ของศาสนา ที่เชื่อมมั่นด้านสว่างของความเป็นมนุษย์”

 


ก่อนเกิดการสนทนาระหว่างศาสนา

 

ในการเตรียมจัดงานประชุมวิชาการสุขภาวะทางปัญญา’68  ระหว่างการสำรวจสนามประเด็นการทำงานของกลุ่มนักวิชาการ นักปฏิบัติการทางสังคมในประเด็นสุขภาวะทางปัญญา มิติจิตวิญญาณ ปรัชญา การศึกษา สาธารณสุข สันติภาพ เป็นโอกาสที่ได้รับฟังถึงเจตนารมณ์ ที่มา แรงบันดาลใจในการทำงานของอาจารย์หลายท่าน รวมถึงพระสงฆ์ บาทหลวง ที่นับได้ว่าเป็นผู้ปฏิบัติการทางสังคมในมิติสุขภาวะจิตวิญญาณสายตรง

 

การได้ฟังบาทหลางวิชัย โภคทวี เอส. เจ. ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาจิตวิญญาณและภาวะผู้นำเซเวียร์

พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณและศาสนาว่า“จิตวิญญาณมันเป็นตัวเชื่อมโยงของทุกศาสนาเลยนะ จิตวิญญาณมาก่อนศาสนา เราเกิดมาเป็นทารกเราก็มีจิตวิญญาณแล้ว แล้วแต่ว่าคุณโตไปจะนับถือศาสนาอะไร แล้วแต่ครอบครัว แล้วแต่วัฒนธรรม เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงจิตวิญญาณ เราพูดถึงพื้นฐานหลักของชีวิต” นับเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นแรงบันดาลใจ ที่ผู้มีบทบาทผู้นำในศาสนาคริสต์สะท้อนความเปิดกว้าง และพุ่งตรงไปที่ความเป็นพื้นฐานของชีวิตและความเป็นมนุษย์ ไปทางเดียวกับแนวคิดหลัก“Humanice” ของการจัดงาน Soul Connect Fest ครั้งที่ 2 ด้วย

 

ขณะที่นักวิชาการอิสลามศึกษาและสันติศึกษาอย่าง ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี ปัจจุบันท่านงานยุ่งมากๆ ในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ให้เวลากับพวกเรา และบอกกับเราว่า “ศาสนาคือรากฐานของชีวิต สำหรับผมเชื่อว่าก่อนเราจะเป็นศาสนิก ทุกคนเป็นมนุษย์มาก่อน และศาสนภาวะเป็นพลังอยู่ภายในความเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ศาสนาเป็นรูปแบบปฏิบัติที่แตกต่างกันตามบริบทสังคม” ขณะได้ฟังประโยคเหล่านี้หัวใจเต้นแรง  ทั้งประหลาดใจและดีใจ อยากให้คนอื่นๆ คนทั่วไปได้ฟังคำพูดเหล่านี้ด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าคนทั่วไปจะตื่นเต้นไปกับเราไหม ที่ผู้ที่มีบทบาทนำในศาสนาคริสต์และอิสลาม พูดในสิ่งเดียวกัน

 

และคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นอาจเป็นช่วงเวลาแห่งยุคสมัย อย่างที่อาจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ อาจารย์ด้านปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ให้ความสำคัญกับการการทำหน้าที่ของศาสนาที่มีต่อสังคม ได้พบงานวิจัยทางมานุษยวิทยาที่สะท้อนให้เราเห็นว่า “เหมือนว่าในปัจจุบันศาสนิกชนน้อยลง ผู้แสวงหาจิตวิญญาณมากขึ้น คนรุ่นใหม่อาจไม่ศรัทธาศาสนาที่เป็นสถาบัน  แต่แสวงหาทางจิตวิญญาณ เขาเชื่อว่ามีอะไรที่มากกว่าโลกวัตถุที่แข่งขัน  เขาต้องเสพ เขาต้องสู้  เขาต้องเครียด  ซึมเศร้า โดดเดี่ยว  เขาดิ้นรนหา Spirituality บางอย่าง  มีงานวิจัยหลายชิ้นไปสำรวจตรวจสอบ วีธีที่คนรุ่นใหม่การแสวงหาทางจิตวิญาณ โดยไม่ขึ้นกับสถาบันทางศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่ชัดเจน”

 

เมื่อการสำรวจประเด็นการทำงานของนักวิชาการและนักปฏิบัติการทางสังคมเดินทางมาถึงจุดนี้  คณะทำงานประชุมวิชาการ’68  ตระหนักได้ว่าในการงานที่เราได้มีโอกาสพบกับทรัพยากรทางความรู้ที่สำคัญที่ปรากฏตัวต่อหน้าเรา อยู่ในแววตา น้ำเสียง และความเป็นเนื้อเป็นตัวที่เต็มไปด้วยความกรุณาปรารถนาดีกับเพื่อนมนุษย์ผ่านการทำงานวิชาการและกระบวนการเรียนรู้  อาจกล่าวติดตลกได้ว่า “โทษฐานที่เหมือนเราเป็นผู้มาพบขุมทรัพย์ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งมอบขุมทรัพย์นี้ให้กับสังคมได้เรียนรู้ เช่นเดียวกับที่คณะทำงานได้รับความเมตตาจากทุกท่านเหล่านี้ด้วย โดย อาจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ ยินดีรับเป็นผู้ดำเนินวงเสวนานี้ และเราได้คำแนะนำให้ทาบทาบวิทยากรที่มีความเปิดกว้างระหว่างศาสนามาเป็นตัวแทนมุมมองจากพุทธ ท่านคือ พระปัญญาวัชรบัณฑิต,รศ.ดร. (พระมหาสมบูรณ์ วุฑฒิกโร) รองอธิการบดีผ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย

 

เหมือนจิ๊กซอว์ค่อยๆ ประกอบเข้าด้วยกันกลายเป็นการเสวนาที่คงจะครบถ้วนมากขึ้น หากเรามีตัวแทนจากศาสนาหลักอื่นๆ อีกนอกจาก พุทธ คริสต์ อิสลาม น่าจะมีฮินดูหรือซิกส์ คงจะดีมากหากเราหาบุคคลท่านนั้นเจอ ซึ่งจากคำชี้แนะของคุณหมอประเวศ วะสี ในฐานะที่ปรึกษาของงาน ที่ได้ดำริไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า น่าจะมีการประสานกับกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติสายท่านปรมหังสา โยคานันทะ คุรุทางจิตวิญญาณในศาสนาฮินดูที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงหลักธรรมของฮินดูกับศาสตร์สมัยใหม่ จนเกิด Spiritual Movement ที่สำคัญ อย่างการปรากฏขึ้นของศาสตร์โยคะในโลกตะวันตก สำหรับในประเทศไทยกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติสายตรงอาจยังเป็นกลุ่มเล็ก มีผู้แนะนำ อาจารย์สดใส ขันติวรพงษ์ ในฐานะผู้ศึกษาฮินดูผ่านการทำงานแปลหนังสือสายจิตวิญญาณเล่มสำคัญคือ “ภควคีตา” คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู และผลงานสำคัญของท่าน “ปรมหังสา โยคานันทะ” ซึ่งอาจารย์สดใสเคยให้สัมภาษณ์ว่าทั้งสองเล่มนี้เป็นหนังสือที่ให้คำตอบต่อการดำเนินชีวิตทั้งโลกภายในและโลกภายนอก

 

เมื่อได้วิทยากรทั้งสี่ท่านแล้ว จึงนำเรียนปรึกษาอาจารย์สุวรรณาว่า ควรมีตัวแทนศาสนาซิกส์ด้วยหรือไม่ อาจารย์ได้ให้คำแนะนำว่า “โดยจำนวนน่าจะพอแล้ว และต่อไปต้องเตรียมประเด็นหน่อยนะ พวกเธอได้ของยากแต่ดีนะ ยินดีด้วย” ในความรู้สึก คำกล่าวนี้เป็นเหมือนคาถาสำคัญที่ใช้ในระหว่างการจัดงานครั้งนี้เลยทีเดียว อาจารย์แนะนำต่อว่า “พวกคุณเป็นไวทยากรที่ดูแลวงซิมโฟนี ให้แต่ละคนไม่เออออห่อหมกกัน แต่ไม่ขัดกัน” เรารีบขอความช่วยเหลือจากอาจารย์กลับทันควันว่า “ทางคณะทำงานคงต้องขอให้อาจารย์ช่วยเตรียม Pre conference นะคะ” คำตอบกลับจากอาจารย์อย่างกระชับหนักแน่นว่า “ได้” กระบวนการเตรียมงานเกิดขึ้นต่อเนื่องทันที คือการเชิญวิทยากรทุกท่านมาพบกัน เพื่อผลัดกันสำรวจโลกภายในที่เป็นความเข้าใจต่อหัวข้อเสวนา เพื่อหาประเด็น ลำดับการนำเสนอ การเชื่อมร้อยข้อสรุปสู่ความเข้าใจ ในประเด็นสำคัญของการเสวนา

 

บรรยากาศของของวง Pre conference ทำให้คณะทำงานของเราบางคนน้ำตาซึม รู้สึกดีมากที่ได้รับได้รับฟังสิ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการให้ความหมายต่อชีวิต เป็นเรื่องดีๆ ที่ไม่ว่าจะมาจากมุมของศาสนาไหนก็ตาม สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและฉลาดแหลมคมของแต่ละท่านที่ตัวแทนแต่ละศาสนา

 


สนทนาระหว่างศาสนา:

แก่นแท้ของศาสนาที่เชื่อมั่นด้านสว่างของความเป็นมนุษย์

 

ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ วันแรกของงาน Soul Connect Fest ครั้งที่ 2 ในเวทีแรกของส่วนงานประชุมวิชาการในหัวข้อเสวนานี้ ความรู้สึกชัดเจนที่ปรากฏเหมือนวิทยากรแต่ละท่านมาไขปริศนา การเข้าถึงศาสนาธรรมของแต่ละศาสนา  สำหรับผู้ฟังหน้าเวทีเมื่อกวาดสายตาไป น่าจะเป็นกลุ่มที่เชื่อว่าทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่วิธีการเชิงประสบการณ์ที่แตกต่าง

 

อาจารย์สดใสเริ่มต้นเล่าด้วยภาษาเรียบง่าย จริงใจ ทรงพลัง เป็นสะพานลัดสั้นสื่อสารถึงสภาวะธรรมอย่างเห็นภาพว่า “เวลานอนเราเข้านอนอย่างผ่อนคลายหลับตา เราจะอยู่ในความมืดเวิ้งว้างมีแสงยิบๆ  สำหรับคนที่ไม่กลัวความมืดนะ นี่คือจักรวาลอันไพศาลของพระเจ้า  การที่เรามีสภาวะความเปิดกว้างไพศาลนี่ คือการได้อยู่กับสภาวะอันยิ่งใหญ่ คือได้อยู่พระเจ้า โดยไม่มีความคิดอะไร ไม่ได้คิดเรื่องตัวเอง เมื่อเราหลับตาเราก็จะอยู่กับความว่างอันไร้ขอบเขต เหล่านี้คืออณูของพระเจ้า สภาวะสุญญตา ความว่างที่เต็มเปี่ยมครบถ้วนสมบูรณ์ เวลานั้นเราอยู่กับพระเจ้า เราผ่อนคลายหลับสบาย

 

จากประสบการณ์ในการงานแปลวรรณมายาวนานพบว่า วรรณกรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ใหม่หรือควอนตัมฟิสิกส์ อธิบายอย่างเดียวกันถึงสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า สิ่งที่ท่านปรมหังสาอธิบายว่า พระเจ้า จิตสากล จิตจักรวาล สุญญตา เต๋า อัลเลาะห์  คือสิ่งเดียวกัน และมนุษย์เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า เรามีธาตุทิพย์มีความสว่างของพระเจ้ากันทุกคน มนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ ขณะที่ซาตานก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ด้วยเช่นกันนะ ธาตุทิพย์คืออะไร ความรัก เมตตา กรุณา ความยุติธรรม ความกล้าหาญ  คุณลักษณะเหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว แค่เราต้องพัฒนาขึ้น ทำให้สำแดง เปล่งประกายออกมา ถ้าเราตระหนักได้ว่าเรามีธาตุทิพย์ของพระเจ้า เราจะไม่กลัวเพราะเราอยู่ในอณูของพระเจ้า

 

ก่อนหน้านี้ในการแปลวรรณกรรมในประโยคที่ว่า “I believed in God” คือพระเจ้าอยู่ตรงไหนนะเพราะคิดถึงพระเจ้าเป็นองค์ๆ  แต่ทุกวันนี้พอระลึกว่าฉันอยู่ในอ้อมอกพระเจ้า ทุกอณูของพระเจ้าอยู่รอบตัว เราและสรรพชีวิตคือสิ่งสร้างของพระเจ้า ปัญญาของพระเจ้ามีอยู่ในทุกอณูของเรา เมื่อเราสงบพอเราจะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่เป็นอณูอยู่ในตัวเรา สิ่งที่ท่านปรมหังสาอธิบายเป็นสิ่งเดียวกับที่ควอนตัมฟิสิกส์อธิบาย ทุกวันนี้ถ้าถามว่าเชื่อพระเจ้าไหม ขอตอบว่าเชื่อพันเปอร์เซ็นต์ และทุกวันอธิฐานถึงพระเจ้า “ขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้ลูกตั้งอยู่ในความงาม ความจริง ความดี ปลอดโรคปลอดภัย ขอให้พระองค์นำทางทุกความคิดทุกการกระทำและทุกคำพูด ขอให้ลูกเป็นเครื่องมือนำสันติสุขแห่งพระองค์ไปถึงญาติมิตรและพี่น้อง” เดี๋ยวนี้ไปไหนเลยรู้สึกวางใจจากการไม่แบ่งแยกเราจากคนอื่นศาสนาอื่น

 

ท่านที่สองพระปัญญาวัชรบัณฑิต ชี้ให้เห็นว่าทุกศาสนาเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางเช่นกัน ท่านให้ข้อสังเกตว่าเจ้าชายสิทธัตถะเป็นเจ้าชายอยู่ดีๆ แล้ววันหนึ่งตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร  คำถามสำคัญนี้ที่ทำให้ท่านออกจากวังและออกบวชเพื่อหาคำตอบเป็นจุดเริ่มต้นของพุทธศาสนา  ท่านพบว่าแก่นแท้คือความเชื่อมั่นว่า มนุษย์แม้ตกอยู่ในความทุกข์เวียนว่ายตายเกิด แต่เรามีด้านสว่างที่สามารถออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ เป็นความสว่างที่อยู่ในตัวเราทุกคน แม้แต่ที่นั่งอยู่ในห้องนี้ก็มีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ (Buddha Nature) อยู่ในตัวกันทุกคน ทุกคนจึงสามารถต่อยอดจากต้นทุนที่มีไปสู่ความเป็นผู้ตื่นรู้ได้ในอนาคต

 

พุทธศาสนาบอกว่าความสุขที่แท้จริง คือความสุขที่เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อปัจจัยอื่น คือ ความสุขทางจิตวิญญาณ ความสุขจากการพัฒนาจิตของตัวเองด้วยการเจริญภาวนา สติ ศีส สมาธิ ปัญญา เป็นความสุขประณีต ละเอียดอ่อน เป็นความสุขภายใน มีอิสรภาพไร้เงื่อนไขภายนอกไม่พึ่งพิงวัตถุอะไร เพราะเราฝากความสุขของเราไว้กับความสงบเยือกเย็น ความไม่มีกิเลส ความสุขนี้เป็นด้านสว่างของมนุษย์ พุทธศาสนาพยายามสนับสนุนให้ทุกคนหาความสุขแบบนี้ ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีด้านสว่างของความเป็นมนุษย์อยู่ภายใน เราทุกคนมีจิตประภัสสร มีแสงสว่างเป็นประกายอยู่ภายใน เป็นต้นทุนของทุกคนที่สามารถยกระดับไปสู่ความสว่างยิ่งๆ ขึ้นไปจนอาจไปถึงระดับความตื่นรู้ได้

 

ท่านที่สาม คุณพ่อวิชัย โภคทวี สะท้อนว่าทั้งที่มนุษย์มีด้านสว่าง แต่ศาสนาก็ชอบเน้นด้านมืด เช่นคริสต์มองว่ามนุษย์เป็นคนบาป เป็นความคิดที่สะกิดให้เราตื่น ระมัดระวัง เพราะเรามักมองไปทางบาป แต่เรามีศักยภาพมากมายที่ไม่ได้พูดถึงเลย ในคัมภีร์คริสต์บอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ตรงกับฉายาพระเจ้า และมีบทสดุดีว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ต่ำกว่าพระเจ้าหน่อยเดียว และให้อำนาจทุกอย่างในการปกครอง เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้เราแต่เรามักจะลืม และการปกครอง พระเจ้าสอนว่าอำนาจปกครองมีไว้เพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์และรับใช้ผู้ต่ำต้อย และอำนาจนั้นมอบให้กับมนุษย์

 

สิ่งสำคัญคือการมองเห็นศักยภาพด้านบวกหรือความสว่างทั้งคนอื่นและตนเอง และโดยธรรมชาติทุกคนมีความใฝ่ดี ถ้าเราเชื่อและพัฒนาคุณค่าที่มองเห็นนั้นขึ้นมา เราจะกลายเป็นความงามแบ่งปันให้โลกนี้ได้

 

อีกสิ่งที่มนุษย์ลืมคือความสัมพันธ์กับสิ่งสูงสุด อย่างความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษที่มีคุณค่าในอดีตส่งต่อเป็นพลังให้อนาคต ถ้าเราเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะทำให้เรายึดมั่นในหลักการ เราจะมีความกล้าในการทำดี เพราะเราได้รับความคุ้มครองจากสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราตระหนักในคุณค่าตัวเรา คุณค่าธรรมชาติ และคุณค่าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เราศรัทธา เราจะรู้สึกถูกคุ้มครอง ไม่ต้องกลัว ชีวิตเราจะมีศักยภาพ ชีวิตเราจะมีพลัง ไม่หวั่นไหว

 

ท่านสุดท้าย อาจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี จากหัวข้อ สิ่งที่ท่านนึกเป็นอย่างแรกคือบทกำเนิดของมนุษย์ในทัศนะอิสลามเป็นอย่างไร น่าสนใจว่าเป็นทัศนะที่เชื่อมั่นว่ามนุษย์มีความสว่างอยู่จริง ในคำสอนว่ามนุษย์คนแรกชื่อ“นบีอาดัม” โดยตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์ พระองค์จะเป่าวิญญาณของพระองค์ลงไปเพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์บนโลกนี้ เพราะฉะนั้นการที่มนุษย์จะเป็นตัวแทนของพระเจ้าเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากๆ นั้นสถานะของมนุษย์จึงสูงส่งมาก แต่สิ่งที่พระองค์นำมาสร้างกลับน่าสนใจมากในเชิงสัญลักษณ์ นั่นคือดินและโคลนที่อยู่ต่ำและสกปรกเหม็น แล้วพระองค์เป่าวิญญาณของพระองค์ลงในดินและกลายเป็นโคลน แล้วก็สร้างเป็นมนุษย์ แล้วดินที่พระองค์สร้างก็น่าสนใจอีกว่าไม่ใช่เป็นดินชนิดเดียวทั้งหมด พระเจ้าบอกให้เทวทูตไปเก็บดินทุกส่วนทุกชนิดบนโลกที่มีความหลากหลาย แล้วก็มาประกอบเป็นมนุษย์ ในเชิงสัญลักษณ์มนุษย์จึงมีความหลากหลาย ขณะเดียวกันเทวทูตประท้วงว่าพวกเราถูกสร้างมาจากรัศมีแสงสว่างสูงส่ง แต่นี่พระองค์ให้สร้างมนุษย์จากดินและเป่าวิญญาณของพระองค์ แล้วให้เราไปเคารพสยบยอมมนุษย์ได้อย่างไร พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า ฉันรู้ในสิ่งที่ท่านไม่รู้ กระทั่งเทวทูตที่มีชื่อว่าไซตอนหรือมารร้ายที่ถูกสร้างมาจากไฟก็ไม่ยอมรับและท้าท้ายพระผู้เป็นเจ้า ในที่สุดพระผู้เป็นเจ้าจึงรับคำท้าของไซตอน ที่ว่าจะขอไปหลอกลวงมนุษย์ในทุกหนแห่ง เพราะไซตอนไม่เชื่อว่ามนุษย์จะมีด้านดี

 

ชีวิตมนุษย์ในทัศนะอิสลามมีความศักดิ์สิทธิ์ ในอัลกรุอ่านมีกล่าวว่าถ้าเราฆ่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งเท่ากับเขาฆ่ามนุษย์ทั้งโลก หลายโองการพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ว่าจงอย่าสังหารชีวิตของมนุษย์ที่ฉันทำให้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นชีวิตมนุษย์จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และเราถูกนำลงมาเพื่อที่จะเผชิญกับความท้าทายอันนี้ ความเป็นมนุษย์จึงมีสองด้านเสมอ ความสูงส่งความดีงามความสว่างที่เป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า  ขณะเดียวกันก็มีอีกด้านที่เป็นโคลนตม ด้านลบ สิ่งไม่ดีไม่งาม ชีวิตจะเป็นการต่อสู้ระหว่างสองสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา 

 

และในความหลากหลายไม่ใช่แค่ระหว่างบุคคล แม้ในตัวตนของเราก็มีความหลากหลาย จุดนี้สำคัญมาก ซึ่งถ้าเรายึดโยงว่าเรามีอัตลักษณ์เดี่ยวที่คับแคบ เราก็จะมีความหยิ่งผยองในอัตลักษณ์ของเรา แต่ภาพ“ป้ายหน้ามัสยิดที่บ้านผม” นี้สะท้อนความหลากหลายในอัตลักษณ์ของคนๆ หนึ่ง ซึ่งมันคือความสวยงานในทัศนอิสลาม คือความเมตตาที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้เราใช่หรือไม่  “ข้างบนภาษาอาหรับแสดงความเป็นมุสลิมของผม ตรงกลางภาษาไทยแสดงความเป็นคนไทย และภาษาจีนแสดงความมีเชื้อสายจีน และลายดอกทิพย์มนฑาซึ่งลายเอกลักษณ์เฉพาะของล้านนา เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าผมคือใคร ผมก็คือ “มุลลิมไทยเชื้อสายจีนแห่งล้านนา” ผมว่ามันคือความสวยงามในทัศนะของอิสลาม”

 

ในเรื่องการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ในอัลกุรอ่านบอกเราว่าต้องอยู่กับมนุษย์ด้วยความสวยงาม เราต้องอยู่กับธรรมชาติอย่างเห็นความยิ่งใหญ่งดงามของธรรมชาติ อัลกุรอ่านบอกว่า ท่านไม่ได้ยินหรอกหรือเสียงของลำธารที่ไหล เสียงของนกที่ร้อง ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญพระบริสุทธิคุณพระเกียรติคุณของพระผู้เป็นเจ้า คำถามคือเราจะไปทำลายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

 

ช่วงท้ายมีการเปิดการแลกเปลี่ยนมีประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งจากคำถามและการแบ่งปันประสบการณ์

 

คำถามแรกว่า “มีงานวิจัยที่พิสูจน์ทางพันธุ์ศาสตร์ (population genertic) ว่าเราร่วมสายพันธุ์กันเดียวกัน มีสันติสุข ประชาชนต้องกินดีอยู่ดีด้วย เป็นไปได้ไหมที่เราน่าจะมีเป้าหมายอะไรร่วมกันได้” อาจารย์สุชาติตอบคำถามนี้ว่า มีตัวอย่างโครงการที่ลงไปค้นปัญหาร่วมในชุมชน ซึ่งพบว่าคือปัญหาสุขภาพของคนในชุมชน จากนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นเป้าหมายร่วม โดยใช้ศาสนธรรมของแต่ละศาสนามาแก้ปัญหาของศาสนิกแต่ละกลุ่ม  

 

คำถามต่อมา “มีคำกล่าวว่าทุกศาสนาสอนเป็นคนดี  เหมือนคนขึ้นภูเขายอดเขาเดียวกันสามารถขึ้นหลายทางก็ได้ ในขณะที่มุมมองพุทธบอกว่า เราคือผู้ชี้ทาง มุมมองคริสตบอกว่า เราคือหนทางความจริงของชีวิต วิทยากรคิดเห็นอย่างไร” คุณพ่อวิชัยให้ความหมายของคำว่าบาปหมายถึงออกนอกทาง ไม่ตรงเป้าหมาย พระเยซูกล่าวว่าเราคือทาง คือหนทางของความรัก เป็นหนทางนี้เท่านั้นที่ไม่หลง ไม่พลาดเป้า ไปถึงชัยที่ถาวร และพระปัญญาวัชรบัณฑิตให้คำตอบที่กว้างกว่าคำถามว่า หนทางไม่ต้องเหมือนกัน ยอดภูเขาอาจไม่ต้องเป็นลูกเดียวก็ได้ แต่ภูเขาทุกลูกต่างพาเราขึ้นสู่ที่สูงเหมือนกัน

 

มีกลุ่มคำถามที่สะท้อนถึงการสอบทานความเชื่อของประเด็นเสวนาในวันนี้ว่า “ถ้าทุกคนเป็นคนดี  แล้วทำไมโลกมันวุ่นวาย หรือเป็นกรรมใครกรรมมัน ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี แล้วก็ Let Go  Let God...” คุณพ่อวิชัยชวนให้วิเคราะห์เหตุของปัญหาว่า “ศาสนาทำให้วุ่นวายหรือผู้มีอำนาจในศาสนา หรือผู้มีอำนาจต่างๆ หรือศาสนาเองหรือเปล่า แก่นของศาสนาไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวาย อำนาจในศาสนาคือสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย แทนที่จะทำประโยชน์ให้มนุษย์กลับมาทำประโยชน์เพื่อตนเอง” และคำถามที่ว่า “ศาสนาก็มีส่วนสร้างด้านมืดของความเป็นมนุษย์ด้วย ต้องจัดการอย่างไร” พระปัญญาวัชรบัณฑิตยอมรับว่า “จากประวัติศาสตร์ศาสนา ประวัติศาสตร์ของสังคม สังคมมีวิวัฒนาการ ต้องยอมรับความจริง ศาสนามีการสร้างเนื้องอกหรือเปลือก ที่ผ่านการตีความที่อาจนำไปสู่การเข่นฆ่ากัน ท่านพุทธทาสมีความตั้งใจจะถากเปลือกให้ถึงแก่น ตัดเนื้องอกที่เพิ่มพูมตามวิวัฒนาการของสังคม เพื่อให้มนุษย์เข้าถึงแก่นของศาสนา”

 

ผู้ร่วมฟังเสวนาบางท่านแบ่งปันประสบการณ์ตรง ที่ได้เรียนรู้ในประเด็นการเชื่อมโยงระหว่างศาสนา

 

“ดิฉันเป็นชาวพุทธไปทำงานกับมุสลิม ได้ค้นพบว่าหลายสิ่งใกล้กันมาก ไม่ใช่แค่ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ซึ่งน่าจะมีสิ่งที่ลึกซึ้งได้กว่านี้  ขณะที่ทำกลุ่มกิจกรรมและมีการนัดหมายพบกับพรุ่งนี้สิบโมง ชาวมุสลิมตอบกลับเป็นภาษาอาหรับที่แปลว่า“แล้วแต่พระเจ้ากรุณา” ความหมายคือเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นฝนตกฟ้าร้อง แผ่นดินไหว เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้มาตามนัดหมายไหม แต่ประโยคที่ว่าแล้วแต่พระเจ้ากรุณาคืออาจเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ดิฉันรู้สึกชื่นชมเพราะสิ่งที่ชาวมุสลิมพูดสะท้อนความเชื่อพื้นฐานเดิมของชาวพุทธอย่างดิฉันว่า สรรพสิ่งเกิดแต่เหตุปัจจัย มิได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอหรอก มันยังมีอะไรอีกมากมายหลายอย่าง  ซึ่งคำทักทายนี้ชาวมุสลิมใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งดิฉันคิดว่ามุสลิมเป็นพุทธที่เป็นนักปฏิบัติอย่างยิ่ง

 

ผู้ร่วมฟังเสวนาท่านเดิมขอเพิ่มอีกประเด็น “อีกเรื่องที่ดิฉันได้เรียนรู้คือ คำสอนที่ต่างกันอย่างสุดขั้วแต่มีเป้าหมายเดียวกัน อิสลามสอนให้เชื่อเพื่อให้ปฏิบัติเพราะถ้าไม่เชื่อจะไม่ปฏิบัติ ขณะที่ชาวพุทธสอนให้ไม่เชื่อเพื่อพิสูจน์ด้วยตนเอง เป้าหมายคือการปฏิบัติ  โดยรูปลักษณ์ภายนอกอาจสอนตรงข้ามแต่เป้าหมายกลับเป็นเป้าหมายเดียวกัน ดิฉันรู้สึกว่าแต่ละศาสนามีอะไรร่วมกันจริงๆ ในระดับลึกซึ้งมากว่าคำพูดลอยๆ ว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี”

 

และท่านสุดท้ายที่แบ่งปันประสบการณ์ตรงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงกันของเป้าหมายและวิถีการฝึกฝนจิตใจของต่างศาสนาที่มีความน่าสนใจ “ดิฉันเป็นชาวคาทอลิกและภาวนามาตลอด แต่มาในปีหลังๆ พบว่าวิธีภาวนาที่ดีที่สุดคือ อาณาปาณสติ และการนั่งสมาธิแบบซาเซน เป็นวิธีภาวนาที่สัมผัสกับพระเจ้า เข้าถึงพระเจ้า เข้าถึงโพธิจิตได้ดีที่สุดค่ะ”

 

นอกจากการแลกเปลี่ยนเพื่อทำความเข้าใจแล้ว ยังมีคำถามเชิงสอบทานตรวสอบซึ่งก็มีความหมายที่ละเลยไม่ได้ เป็นคำถามคนรุ่นใหม่ท่านหนึ่งว่า “ถ้าจะให้ศาสนามีฟังก์ชันกับสังคม เราควรใส่ใจมิติด้านสังคมด้วย เพื่อนผมเจนซีหลายคนมีความคิดมองสังคมต่างไป อยากยืมคำอาจารย์สุชาติว่า ถ้าเรากวาดบ้านเรียบร้อยแล้ว เราอาจคิดได้ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่านี้ด้วย ไม่ใช่เอาแต่กวาดบ้านอย่างเดียว” สะท้อนถึงความใส่ใจในเรื่องการพัฒนาจิตใจระดับบุคคลที่ไม่แยกขาดจากทุกข์ร่วมของสังคมด้วย

 

เสียงสะท้อนจากผู้ฟังมีหลากหลาย วงเสวนาระหว่างศาสนานี้ได้เปิดพื้นที่เรียนรู้ให้เกิดการใคร่ครวญ ถึงแก่นแกนของหลายศาสนาที่มีต่อความเชื่อมั่นด้านสว่างของความเป็นมนุษย์ มีทั้งความเห็นที่เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งและความเห็นที่สอบทานความเชื่อ มีการแบ่งปันประสบการณ์ตรงและเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้กระตุ้นเตือนการเชื่อมโยงประเด็นนี้ไม่เพียงแต่ในระดับบบุคคล แต่ควรเชื่อมโยงกับสังคมด้วย

 


จากสันติภายในใจสู่สันติภาพของสังคม

 

หากถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เชื่อมโยงเส้นทางของสันติภายในใจสู่สันติภาพของสังคมอย่างไรนั้น วงเสวนานี้สะท้อนความเชื่อของหลากศาสนาว่า ด้านสว่าง หรือ พระเจ้า หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือ พุทธะเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ ขณะที่ซาตานหรือด้านมืดก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ด้วยเช่นกัน โดยคุณลักษณะด้านสว่างคือ ความรัก เมตตา กรุณา ความยุติธรรม ความกล้าหาญ คุณลักษณะเหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว แค่เราต้องพัฒนาขึ้น ทำให้สำแดงเปล่งประกายออกมา ถ้าเราตระหนักได้ เราจะตระหนักว่าเรามีด้านสว่างของความเป็นมนุษย์ในตัวเรากันทุกคน

 

ทำให้เกิดมุมมองว่าทุกศาสนามีความเชื่อและวิถีฝึกฝนจิตใจให้ด้านสว่างได้เปล่งแสง ท่ามกลางด้านมืดที่ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตใจด้วยเช่นกัน การยอมรับการมีอยู่ของด้านมืดในตัวเราพร้อมกับรู้วิธีการพัฒนาด้านสว่าง ที่เป็นคุณลักษณะความรัก เมตตา ความกรุณา ให้กลายเป็นพื้นฐานของจิตใจในการเผชิญปัญหาเป็นความทุกข์ระดับบุคคล ซึ่งอาจเป็นทักษะเดียวกับการยอมรับการมีอยู่ของด้านมืดของผู้อื่นหรือสังคม ขณะที่ก็ค้นหาวิธีพัฒนาด้านสว่างของผู้อื่นหรือของสังคม เพื่อก้าวผ่านความทุกข์ร่วมของผู้อื่นหรือสังคมไปด้วยกัน ด้วยความเชื่อมั่นในด้านสว่างของมนุษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ เพศภาวะ ฐานะ อาชีพ บทบาท อุดมการณ์

 


จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ ความหวัง

 

เราเห็นความหวังในวันข้างหน้าว่าศาสตร์ของการพัฒนาด้านสว่างของความเป็นมนุษย์อาจเป็นทักษะทางจิตวิญญาณหรือทักษะในการพัฒนาจิตใจให้เกิดสุขภาวะทางปัญญา อาจเป็นหนทางพาเราออกจากความทุกข์ร่วมของสังคม ซึ่งความท้ายทายใหญ่คือการฝึกฝนอย่างไรที่จะเห็นหรือตระหนักรู้ถึงด้านสว่างในความเป็นมนุษย์ของคนที่เป็นคู่ขัดแย้งในชั่วขณะเดียวกับที่เราเห็นด้านมืดของคู่ขัดแย้ง ซึ่งมักเป็นด้านเดียวที่เราเห็นอย่างที่เป็นความเคยชินเดิมของเราทุกคน

 

การสนทนาระหว่างศาสนาครั้งนี้ เริ่มต้นจากความประหลาดใจในจุดร่วมกันของบุคคลที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนสันติภาพในสังคม จากแก่นแกนของศาสนาธรรมต่างศาสนา ที่เชื่อมั่นในคุณลักษณะพื้นฐานที่มีอยู่แล้วในความเป็นมนุษย์ของทุกคน ความรัก ความเมตตา ความไม่แบ่งแยก ความเคารพในธรรมชาติอันหลากหลายของสรรพชีวิต เป็นคุณลักษณะด้านสว่างที่พัฒนาจากทุนเดิมของความเป็นมนุษย์ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นปรากฏขึ้นในระหว่างการทบทวนใครครวญผ่านการเขียนนี้ เราสัมผัสได้ถึงความมั่นคงหนักแน่นขึ้นบนเส้นทางการทำงานที่เชื่อมั่นด้านสว่างของความเป็นมนุษย์ เราสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากความกรุณาปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์จากความเป็นเนื้อเป็นตัวของวิทยากรทุกๆ ท่าน เราสัมผัสได้ถึงศรัทธาที่มีต่อแก่นแท้ของศาสนธรรมทุกศาสนาที่เป็นไปเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านในของมนุษย์เพื่อสรรพชีวิตที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้

 

ข้อเสนอที่มองไปในวันข้างหน้า ควรมีการเปิดบทสนทนาระหว่างศาสนาอีกในวาระที่เป็นไปได้ ยังมีความท้าทายหรือคำถามที่ยังรอการค้นหาอีกในประเด็น “ศาสนาธรรมที่เป็นหนทางหรือวิธีการพัฒนาด้านสว่างของความเป็นมนุษย์” เพื่อเป็นเส้นทางของสันติในใจสู่สันติภาพของสังคม อาทิ การแบ่งปันเรียนรู้การภาวนาของระหว่างศาสนา การฝึกภาวนาร่วมระหว่างศาสนา การภาวนาที่เชื่อมโยงกับมิติความทุกข์ร่วมของสังคม วิทยาศาสตร์ใหม่กับศาสนาอธิบายเรื่องเดียวกันคืออะไรและอย่างไร การบรรจบกันศาสนธรรมในโลกตะวันตกและตะวันออก

 

ข้อเสนอแนะต่อสถาบันการศึกษาด้านศาสนา เช่น มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ภาควิชาปรัชญาและศาสนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์พัฒนาจิตวิญญาณและภาวะผู้นำเซเวียร์, มหาวิทยาลัยทางจิตของโลกบราห์มากุมารี ควรจัดให้มีการสนทนาระหว่างศาสนา ที่เชื่อมโยงการพัฒนาด้านสว่างของความเป็นมนุษย์กับประเด็นต่างๆ  โดยเฉพาะการฝึกปฏิบัติ หรือ การภาวนาที่เป็นหัวใจสำคัญของการบ่มเพาะศาสนธรรมในจิตใจ ในลักษณะที่เชื่อมโยงการภาวนากับมิติความความทุกข์ร่วมในสังคมของคนกลุ่มต่างๆ รวมถึงมีการทำงานร่วมกับองค์กรด้าน Spiritual ในต่างประเทศ เช่น Mind & Life Institute ในการจัดประชุม หรือ เวทีเสวนาเพื่อสร้างพื้นที่เรียนรู้และขับเคลื่อนเครือข่ายที่ทำงานในประเด็นนี้ให้เป็นที่รับรู้และเรียนรู้ของสังคม ด้วยหวังว่าอาจนำไปการสู่การส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญาผ่านนโยบายที่มิติจิตวิญญาณต่อไปในอนาคต

         


ผู้เขียน รัชนี วิศิษฎ์วโรดม



Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page