top of page

T3-12 | เวทีนำเสนอ “เยาวชนเปล่งเสียง อนาคตเปลี่ยนแปลง”

Updated: Aug 23

2 มี.ค. 68 15:30-17:00 น. เวทีกลาง สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ: ศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา

นำเสนอ: ตัวแทนเยาวชนจากทุกส่วนในงาน Soul Connect Fest


จากการเรียนรู้ของเยาวชนหลากรูปแบบในงานครั้งนี้ ทั้งผ่านประสบการณ์ตรงในเวิร์กชอปต่างๆ ผ่านการเป็นอาสาสมัครภายในงาน ผ่านงานค่ายเยาวชน “คนรุ่นถัดไปบนโลกใบนี้” ล้วนเป็นไปเพื่อบ่มเพาะคุณภาพจิตใจอันหลากหลายของพวกเขา เวทีนำเสนอนี้จึงเชื้อเชิญตัวแทนเยาวชนจากส่วนต่างๆ มาบอกเล่าประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น มาแบ่งปันความฝันถึงสังคมที่พวกเขาอยากอยู่ร่วมกัน



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ




ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม





สรุปใจความสำคัญ


เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้ส่งเสียงของตนเองผ่านกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่ตนเองเคยมีส่วนร่วม เช่น การทำงานอาสาสมัคร การแสดงละครและร้องเพลงเพื่อสะท้อนสังคม หรือการเข้าค่ายเยาวชน   กล่าวคือ เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างเพื่อให้พวกเขาสามารถเปล่งเสียงของตัวตนภายใน ความต้องการ ความหวัง อีกทั้งความฝันที่มีต่ออนาคตและโลกใบนี้   ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมา เยาวชนหลายคนอาจรู้สึกว่าสังคมไม่ค่อยมีพื้นที่ให้พวกเขาได้พูดหรือแสดง ออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างปลอดภัยและวางใจ

 

กิจกรรมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรกเป็นการสัมภาษณ์เยาวชนจิตอาสาที่มาช่วยงานในครั้งนี้ – “อยากมาหาประสบการณ์เพิ่มเติมจากการเรียนตามปกติ ... อยากเก็บ port เพื่อใช้ต่อยอดในอนาคต แต่เมื่อได้มาทำงานจริงๆ แล้ว ... ได้ทั้งประสบการณ์ใหม่ ได้เพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้การพูดคุยปฏิสัมพันธ์ ได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่น ฝึกทักษะการเป็นผู้รับฟัง ได้ฝึกความกล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ  ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น อีกทั้งยังได้ช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมทำประโยชน์ให้กับสังคม”   การสัมภาษณ์นี้อาจทำให้ผู้ฟังเกิดแรงบันดาลใจที่อยากทำงานจิตอาสาบ้าง เพราะเห็นทั้งประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น

 

ช่วงที่สองเป็นการแสดงละครของเยาวชนจากอำเภอจะนะ  เนื้อหาของละครสะท้อนวิถีชีวิตของชุมชนที่มีทั้งคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิม  แม้ต่างฝ่ายจะต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมแต่ก็ไม่แตกแยกทางจิตใจ กลับอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติปรองดองทั้งเด็กและผู้ใหญ่  และในช่วงท้าย มีการนำเสนอปัญหาของนิคมอุตสาหกรรมที่กำลังจะรุกเข้ามายึดครองพื้นที่ของชุมชนและมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อธรรมชาติให้เสียสมดุลและสูญสลายไป  การแสดงของเด็ก ๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสดใสไร้เดียงสาของวัยเยาว์ โลกของเด็กไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม  พวกเขาเพียงเห็น ‘เพื่อน’ เป็น ‘เพื่อนมนุษย์’ อย่างจริงใจและใสซื่อ

 

และช่วงสุดท้ายเป็นการพูดคุยกับเยาวชนที่ได้ไปเข้าค่ายเยาวชนแล้วกลับมาตกผลึกกับภายในตนเอง  ที่น่าสนใจคือ มีเยาวชนคนหนึ่งเล่าว่า ตนเองได้ค้นพบคุณค่าที่ดีงามภายในตัวเอง และเกิดแรงบันดาลใจในการนำคุณค่าที่ดีนั้นมาเผชิญหน้าต่อความท้าทายและอุปสรรคในมิติต่างๆ ทางสังคมโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง  ส่วนเยาวชนอีกคนหนึ่งได้เรียนรู้ว่า การจะออกไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม เราต้องเข้าใจจิตวิญญาณภายในตนเองก่อน จากนั้นจึงค่อยพาคนที่รู้จักมิติภายในนั้นออกไปรวมพลังกับคนอื่นที่อยู่ข้างนอกแล้วขับเคลื่อนสังคมนี้ไปด้วยกัน ด้วยความหวังว่าอนาคตของประเทศชาติจะดีขึ้นได้กว่านี้

 

  • การแสดงละครของเยาวชนจากอำเภอจะนะ ได้ส่งสารผ่านคนดูถึงความรู้สึกของการร่วมทุกข์และร่วมมือกัน  ทั้งในแง่มุมของสัมพันธภาพที่ดีต่อกันของคนต่างศาสนาในพื้นที่ การร่วมมือกันอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการคัดค้านอุตสาหกรรมที่กำลังจะเข้ามารุกพื้นที่และทำให้ธรรมชาติที่งดงามเกิดความเสียหาย

  • สันติภาวะจากภายในตนเองสู่ภายนอก  เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ตนเองได้ค้นพบคุณค่าที่ดีงามภายในตัวเอง แล้วนำคุณค่านั้นมารับมือและเผชิญหน้ากัยความท้าทายและอุปสรรคต่าง ๆ ทางสังคมโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง

  • การจะออกไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจจิตวิญญาณ (สุขภาวะทางปัญญา) ภายในตนเองก่อน

 

โดยรวม ประเด็นหลักที่เยาวชนได้สื่อสารคือ การรู้จักภายในตนเองและตระหนักเห็นถึงคุณค่าที่ดีงามในตัวเอง  รวมถึงการนำสิ่งเหล่านี้แปรเปลี่ยนไปเป็นพลังที่ดีเพื่อใช้สร้างสรรค์สิ่งดีงามแก่ผู้คนและสังคมภายนอก  ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนภาพจากความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจของพวกเขา ส่องเป็นประกายความหวังและความฝันของคนรุ่นใหม่ออกมา  อีกทั้งเห็นถึงเบื้องลึกในตัวตนของเยาวชนเหล่านี้ที่ต้องการจะเข้าใจตนเอง เข้าใจเพื่อน ๆ  เข้าใจผู้คน เข้าใจสังคม และเข้าใจโลก

 


การร้องเพลงประกอบการเล่นกีตาร์

เพลงที่ร้องเป็นภาษามลายู

ความหมายคือ

“ในอีกมุมหนึ่งของความมืดมิด ก็ยังมีแสงสว่างแห่งความหวังของคนในพื้นที่ที่คงรอคอย”



ผู้เขียน  ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68






บทสะท้อนจากห้องประชุมย่อย



บางที เราก็ต้องกล้ากระโดดเข้าไปในพื้นที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยบ้าง 


“เขาคุยกันว่าควรจะมีห้องเกี่ยวกับเยาวชนในงานครั้งนี้” นั่นคงเป็นบทสนทนาแรกๆ ที่ฉันได้ฟังในฐานะหนึ่งในทีมงานหลักของศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา ระหว่างออกแบบโครงภาพของงานประชุมวิชาการสุขภาวะทางปัญญาครั้งที่ 2 นั่นเป็นช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2567 ก่อนที่จะถึงวันจัดงานในอีกประมาณ 2 เดือน 


ตัวฉันเองมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับเยาวชน เพื่อเยาวชน และโดยเยาวชนมานับครั้งไม่ถ้วน เรียกได้ว่าแทบจะเป็นปฏิบัติการอัตโนมัติ เมื่อมีข้อเสนอให้จัดห้องย่อยวิชาการในหัวข้อเยาวชนซึ่งจะกินระยะเวลา 2 ชั่วโมง ฉันจึงสื่อสารให้กับเพื่อนร่วมงานว่า ระยะเวลาเพียง 2 ชั่วโมง เราคงไม่สามารถได้ฟังเสียงของเยาวชนได้อย่างแท้จริง อย่ากระนั้นเลย เราควรจัดเป็นเวิร์กช้อปหรือค่ายเยาวชนสัก 2-3 วัน เพื่อให้เยาวชนได้พื้นที่และเปล่งเสียงของพวกเขาอย่างเต็มที่ดีกว่าไหม แล้วนำเสียงของพวกเขามานำเสนอต่อในงานประชุมวิชาการโดยให้พวกเขาได้เล่ามันด้วยตัวเอง 


เสนอแล้วดันได้รับการสนอง แล้วใครจะทำ อ้าว ก็ฉันนี่ไง เพิ่มงานตัวเองอีก แต่ถ้าไม่ได้ทำสิ่งที่เสนอเองให้เต็มเวลาและศักยภาพก็คงจะเสียใจและเสียดาย ในระยะเวลาอันสั้นเท่าที่พึงมี ฉันจึงรับหน้าที่ประสานงานและบริหารจัดการให้เกิดค่ายเยาวชน “คนรุ่นถัดไปบนโลกใบนี้”

 


ไม่ใช่ “ฉัน” แต่คือ “เรา”


หนึ่งในความท้าทายของแนวคิดงานประชุมวิชาการสุขภาวะทางปัญญาฯ คือการเปิดพื้นที่ให้เกิดการเรียนรู้ข้ามกลุ่ม ข้ามประเด็น ข้ามเครือข่าย จากเดิมที่ฉันเคยเลือก “คนคุ้นเคย” มาร่วมงานด้วยกันได้ ง่ายแสนง่าย มองตารู้ใจ ฉันต้องปรับโหมดใหม่โดยการเชื้อเชิญผู้คนในเครือข่ายต่างๆ ที่ฉันไม่รู้จัก ที่มีประสบการณ์และศักยภาพในการจัดกระบวนการเรียนรู้มิติด้านใน หรือก็คือ “คนแปลกหน้า” มาต่อจิ๊กซอว์สร้างพื้นที่เรียนรู้ให้เยาวชนร่วมกัน ฉิบหายล่ะ! (เอ๊ะ ฉันใช้คำนี้ได้หรือเปล่านะ) เขาเป็นใคร ทำงานแบบไหน เราเข้าใจเรื่องพื้นที่และการมีส่วนร่วมของเยาวชนเหมือนกันหรือไม่ จากความสงสัยมาสู่ความกังวล จากความกังวลมาสู่การปฏิบัติจริง แบบ “เอาว่ะ!” ฉันปล่อยตัวเองให้ดำเนินงานไปในแบบที่เรียกว่างานพาไป คุยกับคนนั้น ทาบทามคนนี้ คุยแล้วคุยอีก คุยอีกคุยแล้ว ประกอบร่างจาก “ฉัน” มาเป็น “เรา”

 


จัดวางอัตตา


เมื่อจักรวาลจัดสรรให้คนแปลกหน้าสี่ห้าคนต้องมาจับมือกันนำพากลุ่มเยาวชนให้ไปสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ คือการให้พื้นที่เยาวชนได้เรียนรู้และสื่อสารเรื่องราวของเขาสู่ภายนอก เป็นความท้าทายอย่างมาก “เราคิดว่าเราผ่านกระบวนการหลากหลายกลุ่มมาแล้ว ทำงานกับค่ายเยาวชนมาหลายที่ แต่งานนี้ก็มีสภาวะที่น่าหงุดหงิด” เสียงสะท้อนจากทีมกระบวนกรและทีมสนับสนุนเยาวชนที่มากด้วยประสบการณ์อันโชกโชน พอต้องมาเจอกับสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม เป็นต้นว่า ทีมงานที่ไม่เคยทำงานด้วยกันเลย สถานที่จัดงานที่ไม่คุ้นเคย ประชุมกันแบบหนึ่ง หน้างานเป็นอีกแบบหนึ่ง ก็สร้างความปั่นป่วนขมุกขมัวกันไปถ้วนหน้า 


“รู้สึกว่า อัตตาตัวนี้ เราจัดวางเขาใหม่ ให้เขาเป็นเครื่องมือในการใช้งาน เป็นสภาวะที่ผุดขึ้นได้ และดับลงได้ หรือเดินตามหลังเราได้ ความไม่เปิดใจรับของเรา พอมาเจอจริงๆ ก็ปล่อย ก็วาง” แต่แน่นอน มันไม่ง่าย ยิ่งเราอยากจะทำงานให้มันดี อยากจะให้เป้าประสงค์ของเราบรรลุได้อย่างแท้จริง เราพยามผลัก พยายามดัน ทั้งลุ้น ทั้งเหนื่อย ทั้งหงุดหงิด แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็พบว่า จะผลักจะดึงให้ตึงแค่ไหนก็ไม่ได้เป็นทางออก เพราะนั่นคือเขาไม่ใช่เรา กับความไม่แน่นอนของชีวิตในบางครั้ง เราทำได้เพียงทำส่วนของเราให้เต็มที่ และเผชิญหน้ากับมันด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง 


“เรียนรู้ที่จะวางใจ วางใจให้สุดซอยไปเลย” 


ในระหว่างทางการเรียนรู้ พวกเราทีมงานเฉพาะกิจได้สำรวจตัวเองอยู่เป็นระยะ ทั้งความปั่นป่วนในใจ ทั้งสิ่งที่เราอยากเห็น “เราอยากทำอะไร เราอยากให้กระบวนกรกลุ่มนี้ได้มาทำ เป็นโอกาส เวลา ของยุคสมัย ที่การเรียนรู้เรื่องโลกข้างนอกและโลกข้างในมาเจอกันผ่านการทำงานสังคม และประโยชน์จะตกไปสู่คนทำงานสังคมในอนาคตและคนชายขอบต่างๆ อยากเห็นทีมงานพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ยังประโยชน์ให้กับสังคมและโลกข้างในของเราเองเพื่อยืนระยะ


แม้เราจะมาต่างประสบการณ์ ต่างวิธีการ และมีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน แต่ด้วยหัวใจที่คิด-เชื่อเช่นเดียวกัน ยังไม่รู้หรอกว่าน้องๆ เยาวชนจะได้อะไรแบบไหน แต่พวกเราทีมงานได้เรียนรู้มันและเติบโตร่วมกันแล้ว 

 


Walk the Talk ไม่ใช่แค่พูดแต่ทำให้มันเกิดขึ้นจริง


เมื่อได้ทีมงานแล้ว ก็มาถึงกลุ่มเป้าหมาย เราจัดค่ายเยาวชน 3 วัน ซึ่งจุดมุ่งหมายในครั้งนี้คือการฟังเสียงเยาวชน ซึ่งคำว่า “เยาวชน” มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก เราจะทำอย่างไรให้เสียงของเยาวชนที่มา ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แต่เป็นเสียงที่สะท้อนความหลากหลายของเยาวชนให้ถ้วนทั่วทุกกลุ่มได้มากที่สุด นั่นแปลว่า คำว่า “หลากหลาย” จะต้องไม่ได้อยู่แค่ในเอกสารโครงการ แต่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูของกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ 


การรับสมัครตัวแทนเยาวชนจากเครือข่ายที่หลากหลาย มีการโทรสัมภาษณ์ ไม่ใช่เพื่อคัดคนเข้า-ออก แต่เพื่อทำความเข้าใจว่าน้องๆ เยาวชนที่จะมาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ รู้จริงๆ ว่าเราจะพาเขาไปพบกับอะไรบ้างและเขาพร้อมที่จะเผชิญกับมันไปด้วยกันหรือไม่ ด้วยระยะเวลาที่กระชั้นมากๆ เราได้ตัวแทนเยาวชนมา 22 คน ทั้งจากพื้นที่เมือง พื้นที่ชายขอบ หลากความเชื่อทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ถือผี เชื่อในธรรมชาติ เชื่อในความเป็นธรรมและสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่คนที่มองว่าตนเองไม่มีศาสนาความเชื่อใดๆ เราพยายามโอบรับทุกความหลากหลายทางเพศซึ่งแต่ละคนนิยามตนเองแตกต่างกัน เราให้ความสำคัญกับความหลากหลายของช่วงวัย ตั้งแต่อายุ 15 ปีไปจนถึงอายุ 30 เพื่อให้ครอบคลุมทั้งมิติเยาวชนและคนรุ่นใหม่โดยเน้นผู้เข้าร่วม 80 เปอร์เซนต์อายุไม่เกิน 25 ปี


เราเชื้อเชิญความสนใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตของพวกเขาให้มาเจอกัน ทั้งเรื่องทรัพยากร เรื่องการมีส่วนร่วม เรื่องนโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เรื่องความรุนแรงในครอบครัวไปจนถึงในโลกออนไลน์ เรื่องตัวตน ความรู้สึก ความทุกข์ ความสุข ทั้งหมดทั้งมวลที่เยาวชนจะพึงเป็นในสภาพสังคมทุกวันนี้ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ได้มาใช้เวลาร่วมกันในค่าย 3 วัน ผ่านกระบวนการที่ตั้งอยู่บนฐานคิดที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้สภาวะแวดล้อมภายนอกทั้งหมดสนับสนุนให้พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่และมีเรื่องต้องเครียดกังวลน้อยที่สุด นั่นคือ อาหารการกินที่เหมาะสม ฮาลาลสำหรับมุสลิม สารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอกับเยาวชนที่กำลังเติบโต การจัดห้องพักที่เคารพความต้องการเฉพาะของแต่ละคน ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดกั้นโอกาสที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ข้อจำกัดบางอย่าง การจัดสรรการเดินทางให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต เวลา หน้าที่การงานที่พวกเขาพึงมี เอกสาร การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ


เมื่อเราจัดวางสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้สำหรับเขาแล้ว เนื้อหา กระบวนการเรียนรู้ที่จะพาพวกเขาไปรู้จักตัวตน รู้จักผู้อื่น รู้จักสังคมอย่างแท้จริง จึงตามมา กระบวนการที่ค่อยๆ พาพวกเขาไปช้าๆ บางคนอาจจะอายุน้อย บางคนภาษาไทยไม่แข็งแรง บางคนไม่เคยทำกิจกรรมลักษณะนี้ กระบวนการของทีมงานจึงไม่ละเลยมิติละเอียดอ่อนเหล่านี้ การตั้งใจฟัง การช่วยขยายความสิ่งที่เขาต้องการจะบอกเล่า การช่วยจัด ปรับ เรื่องราวของเขาให้ชัดเจน รวมไปถึงกิจกรรมที่มีทั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำความรู้จักร่างกายตัวเอง การหายใจ ไปจนถึงฐานใจ ฐานจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการเห็นคุณค่าตนเอง ความมั่นคงภายใน ความสามารถในการรู้จักตนเอง ค้นพบเครื่องมือในการเท่าทันตัวเองและเติมพลังให้ตนเอง ไปจนถึงความชัดเจนในเรื่องราวที่พวกเขาต้องการสื่อสารให้คนในสังคมได้รับรู้

 


หากเราเชื่อมั่นในตัวเยาวชนมากพอ...


ภายหลังการอยู่ค่ายร่วมกัน 3 วัน กลุ่มเยาวชนได้ตั้งคณะทำงานเพื่อออกแบบและจัดกระบวนการห้องย่อย 2 ชั่วโมง พวกเขาได้ทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรก เฉกเช่นพวกเราทีมกระบวนกร จากความเป็นคนแปลกหน้า สู่ความเป็นเพื่อน และจากเพื่อนใหม่สู่การเป็นทีมทำงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน เราเห็นว่ามิติด้านในผนวกเป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา เขาต้องมาทำงานกับเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยทำด้วยกันให้ได้บนความหลากหลาย เราได้เห็นจุดที่เขาตั้งหลัก ถามไถ่ความต้องการระหว่างกัน


“มันเริ่มจากว่าเรามานั่งด้วยกัน ทุกคนมานั่งตั้งเป้าหมายด้วยกันว่า เราอยากสื่อสารอะไรนะ? เราบอกว่าเราอยากสื่อสารเรื่องโลกภายใน โลกภายในของแต่ละคนหน้าตาประมาณไหนนะ? แล้วก็เหมือนโยนไอเดียกัน คิดว่ามันมีกิจกรรมอะไรบ้างที่โยนเข้ามาได้ ซึ่งวันนั้นมีกิจกรรมเยอะมาก แล้วก็สัมผัสได้เลยว่าทุกคนมาจากต่างที่ ต่างประสบการณ์กันมากๆ เรามานั่งกลั่นและนั่งคิดว่า แต่ละช่วงกิจกรรม หรือแต่ละกิจกรรมที่แต่ละคนเสนอมามีอะไรบ้างนะ? สิ่งที่เขาเสนอมาด้วยตัวตนของเขา น่าจะต้องสื่อสารอะไรประมาณไหน แล้วพากันถอดออกมาให้เป็นกระบวนการที่เห็นกัน โดยยังเก็บความเป็นตัวตนของเพื่อนทุกคนไว้ในกระบวนนั้นให้ได้” เสียงสะท้อนของเยาวชนในวงถอดบทเรียน


กิจกรรม 2 ชั่วโมงในห้องย่อยที่เยาวชนได้สื่อสารเรื่องราวของเขา ในขณะเดียวกัน ทางทีมงานก็คอยสังเกตอยู่ตลอด  “เขาทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ที่มีความต่าง เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ว่าพอเรามีพื้นที่ให้เขาได้แสดงออกเป็นตัวเองเต็มที่ มันเห็นกันและกัน และเขาใช้ศักยภาพตัวเองได้เต็มที่ ช่วยเหลือกันได้” เสียงสะท้อนจากทีมงานที่อยู่กับน้องๆ เยาวชนตั้งแต่ช่วงที่พวกเขาสุมหัวเตรียมงาน เราได้พบว่าในระหว่าง 2 ชั่วโมงนั้น “น้องเป็นตัวเองจริงๆ ได้สื่อสาร message ครบ และระหว่างทาง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในของน้องๆ คงเพราะเราไม่ได้เซตว่าให้เขาเป็นแบบไหน ให้เป็นแบบที่เขาเป็นดีที่สุดแล้ว เขาเป็นตัวเขาเองจริงๆ” 


เยาวชนได้คิด ออกแบบ สร้างสรรค์ กันเอง ว่าพวกเขาอยากสื่อสารเรื่องราวของตนเองออกมาอย่างไร โดยทีมกระบวนกรกลายสภาพเป็นทีมพี่เลี้ยง “เด็กๆ เห็นคุณค่าและความหมายของพื้นที่ตรงนั้น มันมีความหมายสำหรับเขามากๆ เขาไม่ได้แค่รู้สึกว่าพูดเรื่องตัวเอง แต่เป็นตัวแทนประเด็นของเพื่อนๆ คนอื่นๆ ด้วย”


ในอีกมิติหนึ่ง เราสามารถพูดได้ว่า หากเราเชื่อมั่นในศักยภาพเยาวชนจริงๆ ว่าเขาทำได้ และเราอยู่ตรงนั้นเพื่อสนับสนุนเขา ไม่ใช่เพียงด้านทรัพยากรหรือพื้นที่ แต่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ ให้เขาหันมาเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว แต่มีคนอยู่ตรงนั้นที่เชื่อมั่นในตัวเขาและพร้อมจะสนับสนุนเขาหากเขาต้องการ

 


ความมั่นคงภายในไม่ได้ลอยมาในอากาศ แต่เราต้องร่วมกันสร้าง


กระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดทั้งปวงของเยาวชน ทำให้เยาวชนมองเห็นตัวเองชัดขึ้น สำหรับหลายๆ คน เขาอาจจะไม่เคยตระหนักเรื่องความรู้สึก เพราะชีวิตเผชิญกับการต่อสู้ดิ้นรนตลอดเวลา แต่ค่ายนี้เปิดมิติด้านในให้กับพวกเขา 


“เดิมเรานึกถึงแต่ปัญหาที่เราต้องแบกไว้ แต่วันนี้ ทำให้ผมได้แบ่งได้ว่าอันไหนคือความรู้สึก ทำให้ผมแยกว่าอันไหนความทุกข์ อันไหนความสุข เป็นสิ่งที่ท้าทายกับชีวิตผมมาก ให้ผมต้องคิดเกี่ยวกับตัวเอง ไม่เคยต้องทบทวนมาก่อน”


“ทั้งสภาพแวดล้อมและการเรียนรู้ ทำให้หนูเข้าใจตัวเอง กล้าที่จะอภัยตัวเอง กล้าที่จะรักตัวเอง”


ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่เยาวชนสะสมเพื่อค่อยๆ ประกอบสร้างพลังอำนาจหรือความมั่นคงภายใน เพื่อนำไปขับเคลื่อนสังคมในแบบที่พวกเขาเชื่อ 


“เราเจ็บป่วย ผิดหวังกับขบวนการทางสังคม เอาร่างกายทุ่มเท ไม่ได้กลับมาสัมผัสกับจิตวิญญาณตนเองว่าเราเป็นใคร แต่กิจกรรมที่ทำด้วยกัน ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ทำให้เห็นว่ามันมีทางไป แม้ขบวนการทำให้เราผิดหวัง น่าต่อย น่ากระทืบ แต่เราไปต่อได้” 


นอกจากนี้ พวกเขายังได้เห็นคนอื่น จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป 


“เราเคยตะโกนให้คนฟังเป็นพันๆ ครั้ง แต่ครั้งนี้ เรารู้สึกว่ามีคนฟังเราจริงๆ และเราไม่ได้พูดลำพัง ปกติเวลาทำงาน ต้องคิดเองทำเองคนเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่มีเพื่อนมาช่วยกันทำ ช่วยกันสื่อสารเรื่องของเรา”

 


เยาวชนเปล่งเสียง


ไม่ใช่เพียงการจัดกระบวนการและสื่อสารในห้องย่อย 2 ชั่วโมงเท่านั้น เยาวชนกลุ่มนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในเวทีกลางเพื่อสื่อสารประสบการณ์และการเรียนรู้ของพวกเขาในเวทีกลางของงาน Soul Connect Fest อีกด้วย โดยมีทั้งการแสดงละครของกลุ่มเด็กๆ และเยาวชนจากชุมชนหลากศาสนาจากอำเภอจะนะ จ. สงขลา ตัวแทนเยาวชนที่เป็นอาสาสมัครในงาน และปิดท้ายด้วยตัวแทนเยาวชนจากห้อง “คนรุ่นถัดไปบนโลกใบนี้” ซึ่งเราเห็นได้ถึงความกล้าหาญของเยาวชนในการเลือกประเด็นที่จะสื่อสาร และเลือกสื่อสารผ่านบทเพลง ย้ำเตือนความสำคัญของการให้พื้นที่เยาวชนได้มีส่วนร่วมจริงๆ ในการออกแบบสังคมและตัดสินใจร่วมกับผู้มีอำนาจทั้งหลายในมิตินโยบาย และการไม่หลงลืมการดูแลหัวจิตหัวใจของเยาวชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย 

 


เก็บตก ต่อยอด ขยายผล


สิ่งสำคัญจากการจัดห้องย่อยครั้งนี้โดยเยาวชนเพื่อเยาวชน คือการไม่หลงลืมเยาวชนกลุ่มนี้ว่าเราจะเปิดพื้นที่อื่นๆ ให้พวกเขาได้เรียนรู้ร่วมกันอีกได้อย่างไร และการหยิบยกโมเดลการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ออกมาสกัดเหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จเพื่อนำไปขยายผลต่อกับเยาวชนกลุ่มอื่นๆ รวมไปถึงคนทำงานเพื่อสังคม ให้เห็นความสำคัญของมิติด้านในที่จะเสริมพลังในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม โดยตั้งฐานบนการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ความไว้วางใจ การรับฟัง การเคารพตัวตน เท่าทันตัวเอง รู้จักเครื่องมือในการดูแลตนเอง และสร้างพลังความมั่นคงภายในเพื่อยืนระยะในการทำงานขับเคลื่อน และเมื่อนั้น สังคมที่เราอยากเห็น สันติภาพที่เราใฝ่ฝัน ย่อมจะเกิดขึ้นได้แน่นอน

 


ผู้เขียน  ศักดิ์สินี เอมะศิริ




Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page