T3-10 | OPEN FORUM “เรารักบ้านเมืองนี้อย่างไร? มุมมองและหัวใจที่หลากหลาย”
- Jitwiwat
- Apr 8
- 2 min read
Updated: Aug 23
1 มี.ค. 68 13:00-15:00 น. เดอะ มิตร-ติ้ง รูม (The Mitr-ting room) ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ: CoJOY Consulting และ สมาคมเครือข่ายการเรียนรู้ชีวิตองค์รวม (HOLLA)
นำกระบวนการ: ดร.ชาญชัย ชัยสุขโกศล และ อัจฉรีย์ อำไพกิจพาณิชย์ CoJOY Consulting, น้ำทิพย์ เกตุสัมพันธ์ และ นวพร กิจบำรุง Deep Democracy Institute (Thailand), และ ณฐ ด่านนนทธรรม สมาคมเครือข่ายการเรียนรู้ชีวิตองค์รวม (HOLLA)
พื้นที่แลกเปลี่ยนที่เปิดกว้าง เพื่อให้เสียงที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งอุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ชีวิต ความต่างของรุ่นและช่วงวัย และความแตกต่างอื่นใด ปรากฏขึ้นอย่างอิสระและฉับพลัน บางช่วงอาจกลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนที่เข้มข้น ดุดัน เต็มไปด้วยอารมณ์ โดยมีทีมกระบวนกรที่ชำนาญการและมากประสบการณ์คอยสนับสนุน ด้วยความหวังให้คนหลายกลุ่มหลายฝ่าย ที่รักและใฝ่ฝันถึงบ้านเมืองในแบบที่แตกต่างกัน ทะลุผ่านพายุความรุนแรงระหว่างขั้ว-ข้าง สู่การออกแบบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และตอบโจทย์ที่แต่ละฝ่ายให้คุณค่าในอนาคต
สรุปใจความสำคัญ
เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนแบบเปิดกว้างต่อเสียงทุกเสียง ด้วยความเชื่อว่ามนุษย์มีความเป็นมนุษย์อยู่ภายใน เราสามารถเป็นตัวเองได้ ไม่ว่าจะแตกต่างจากผู้อื่นสักเพียงใด หากอยู่ในบรรยากาศที่ปลอดภัย เราสามารถสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยขึ้นมาได้ เพราะทุกคนมีความเชื่อ มีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างหลากหลาย รวมถึงขนบ วัฒนธรรม รสนิยม ศาสนา เพศสภาวะ ชาติพันธุ์ และอื่นๆ อีกมากมาย
ในสภาพสังคมยุคปัจจุบัน ที่ไม่อนุญาตหรือมีพื้นที่ให้กับเสียงของคนที่ไม่เห็นด้วยหรือเห็นต่าง หรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากกฏหมาย ระเบียบ แนวคิด ค่านิยมและวิถีปฏิบัติบางอย่างของสังคม กิจกรรมนี้จะทำให้เสียงทุกคนมีความหมาย เราเข้าใจกันได้ โดยไม่ต้องเห็นด้วย
เข้ากิจกรรมด้วยการเกริ่นนำและชวนภาวนาร่วมกัน เชื่อมโยงกับมิติด้านในของตนเอง รับรู้ร่างกายในสภาวะที่เป็นปัจจุบันควบคู่ไปกับการดูแลลมหายใจ เชื่อมโยงกับพื้นที่ที่ตนเองสร้างขึ้นภายในใจ
จากนั้นกระบวนกรทั้ง 5 คน แนะนำตัว และเล่าถึงกระบวนการกลุ่ม Process work และ Deep Democracy และการนำไปใช้ในงานพูดคุยเผชิญหน้าเหตุการณ์หรือสถานการณ์ความขัดแย้ง ความรุนแรงในพื้นที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น ที่โครเอเชีย อิสราเอล ปาเลสไตน์ หรือชาวพุทธกับชาวมุสลิมในเมียนมา เป็นต้น
กระบวนกรกล่าวว่าในระหว่างกระบวนการ ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับ “ความจริง” ที่เกิดขึ้น 3 ระดับ ได้แก่ ความจริงเห็นพ้อง (Consensus Reality), ความจริงเหมือนฝัน (Dreamlike Reality) และความจริงแก่นแท้ (Essence Reality) และแนะนำรูปแบบของ Open Forum : คุณลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ (1) หลักการ : เสียงทุกเสียงมีความสำคัญ (2) หน้าที่ของกระบวนกร (facilitator) : เปิดพื้นที่ให้เสียงที่หลากหลายได้ปรากฏ และสร้างความตระหนักรู้ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และ (3) ผู้เข้าร่วมอาจได้พบ : ความปั่นป่วน ควบคุมไม่ได้ ความร้อนแรง จุดปะทุ ความเบื่อเซ็ง อยากเดินออก สภาวะไม่เป็นเส้นตรง (nonlinear)
เมื่อเริ่มกระบวนการ ผู้พูด 3 คนที่ทางกระบวนกรเชิญมาเริ่มต้นในวง พูดเล่าประเด็นของตัวเองคนละ 3 นาที จากนั้นจึงเชื้อเชิญผู้เข้าร่วม หากคนใดพร้อมให้ลุกขึ้นพูด
การเปิดพื้นที่สาธารณะครั้งแรกสำหรับการแลกเปลี่ยนที่เปิดกว้าง ไม่มีคำตอบหรือข้อสรุปในเสียงแต่ละเสียงที่ปรากฏขึ้นมาในวง ทุกคนอยู่ในกติการ่วมกัน สังเกตตัวเอง ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง แม้เสียงนั้นจะอยู่ต่างขั้วหรือข้างกับความคิดความเชื่อของตน การรอให้เสียงผุดปรากฏขึ้นมา
“หากคุณยังคิดว่ากะเทยอาจเป็นคนปกติ แต่กะเทยคนนั้นต้องไม่เป็นคนในครอบครัวของเรา นั่นแสดงว่าคุณเองก็มีอคติต่อกะเทยเหมือนกัน”
“หนูเป็นต่างด้าว หนูไม่ได้อยากมาเรียกร้องอะไรนอกจากความเท่าเทียม หนูไม่อยากให้คนไทยเรียกเราว่าต่างด้าว มันกดทับ มันทำให้เราต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้สัญชาติ...”
“อยากให้มองพระคือเพื่อนมนุษย์ มนุษย์ที่มีสิทธิในการทดลองใช้ชีวิต”
“เรารักบ้านเมืองนี้แหละ แต่มันมีความเจ็บปวดมหาศาลอยู่ แต่นี่คือเหตุผลที่เรามารวมกันอยู่ในห้องนี้ เพราะเรายังมีความหวัง”
คุณค่าที่มองเห็นจากงานนี้ คือการมีพื้นที่ให้กับกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลาย สามารถส่งเสียงแห่งความทุกข์ได้ ช่วยให้เกิดการเยียวยาบาดแผลทางใจ เกิดการดูแลกันและกันในด้านความรู้สึกร่วม (Empathy) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะไม่มีการสื่อสารเป็นคำพูด ทว่ากลับพบความรู้สึกโอบอุ้มดูแลด้วยวงสนทนารูปแบบนี้ เพราะการลุกขึ้นมายืนลำพังแล้วแสดงมุมมองความคิดเห็นหรือความรู้สึกบางอย่าง บางครั้งต้องฝ่าด่านความรู้สึกหวาดหวั่นภายในใจ จึงต้องอาศัยความกล้าหาญ ซื่อตรงต่อความรู้สึก
ทั้งสามารถรับมือกับความขัดแย้งได้โดยปราศจากความรุนแรง เกิดการแลกเปลี่ยนพูดคุยไม่เพียงความจริงเห็นพ้องในระดับแรก ที่มักเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และนำไปสู่การเถียงกัน ทว่าต้องเผชิญขอบของความจริง เพื่อไปสู่ความจริงเหมือนฝัน และความจริงแก่นแท้ในท้ายสุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม สันติภาพ และความปรองดอง
“กว่าจะมีรอยยิ้มได้ที่ปลายทาง ต้องผ่านน้ำตามามากมาย”
(เสียงจากภิกษุณี นักบวชหญิงที่ทำงานช่วยเหลือคนชายขอบ)
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทสะท้อน “เรารักบ้านเมืองนี้อย่างไร? มุมมองและหัวใจที่หลากหลาย”
แรกที่ทราบว่า ดร.ชายชัย ชัยสุขโกศล มีแผนจะจัดกิจกรรม Open Forum ในงาน Soul Festival ก็รีบส่งข้อความไปหาทันทีว่าขอเข้าร่วมเป็นกระบวนกรในกิจกรรมนี้ด้วยคน เพื่อเรียนรู้การจัดกิจกรรมนี้ในพื้นที่สาธารณะ และฝึกฝนตัวเองในการเป็นกระบวนกรสำหรับกิจกรรม Open Forum เพราะเท่าที่ทราบมา ดร.ชาญชัย ได้นำกิจกรรมนี้มาใช้ในการทำงานแล้วหลายครั้ง แต่เป็นการจัดในพื้นที่ที่จำเพาะ ไม่ใช่ในพื้นที่สาธารณะ โดยการเสนอตัวในครั้งนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับหัวข้อที่จะใช้กับกิจกรรมนี้เลย แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้เห็นกิจกรรมนี้ในพื้นที่สาธารณะในสังคมไทย
เนื่องจากส่วนตัวได้เป็นนักเรียนเกี่ยวกับวิชา Process Work ในรูปแบบของ Deep Democracy กับสถาบัน Deep Democracy Institute ประเทศสหรัฐอเมริกามาหลายปีแล้ว และได้มีโอกาสได้เข้าร่วมกิจรรม Open Forum ทั้งในแบบ On-line และ On-site ที่ประเทศสเปนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งในแนวทาง Process Work นั้นจะมีเครื่องมือสำหรับช่วยในการคลี่คลายความชัดแย้งในระดับชุมชนหรือองค์กรขนาดใหญ่ 2 วิธีด้วยกันคือ Group Process กับ Open Forum ซึ่งเป็นกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน สำหรับส่วนตัวถือว่าโชคดีมากที่ในการเดินทางไปเข้าร่วมเรียนรู้ใน DDI Intensive 2024 ที่ประเทศสเปนนั้นได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในทีมกระบวนกรนำกิจกรรม Group Process กับผู้เข้าร่วมกว่า 100 คนจากหลากประเทศทั่วโลก ร่วมกับเพื่อนชาวยูเครนและชาวสเปน ทำให้รู้สึกว่ากิจกรรมทั้ง 2 นี้เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจหากจะนำมาใช้ในการคลี่คลายความขัดแย้งในคนกลุ่มใหญ่ที่มีความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ดังนั้นยิ่งเมื่อได้ยินชื่อหัวข้อของกิจกรรมนี้แล้ว ในใจยิ่งพองโตขึ้นไปเพราะรู้สึกว่าเป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก เนื่องจากในสังคมไทยเรามองว่าการนำประเด็นที่ค่อนไปทางการเมืองหรือบ้านเมืองเป็นประเด็นอ่อนไหว จะไม่ค่อยมีใครยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการพูดคุยกันในพื้นที่สาธารณะแบบนี้ ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสดีที่ได้มีโอกาสได้ร่วมเป็นกระบวนกรในการนำกิจกรรมครั้งนี้
ในส่วนของทีมกระบวนกรในกิจกรรมครั้งนี้นั้น รู้สึกคุ้นเคยกับทุกคนเพราะรู้จักกันมาก่อนแล้ว บ้างเป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นรุ่นพี่ในวงการการเรียนรู้และในแวดวงการเรียนรู้ Process Work ด้วยกันทั้งสิ้น ในใจจีงไม่ได้มีความกลัวใดๆ เลย เพราะมองว่าเป็นการรวมตัวของกระบวนกรด้าน Process Work สำหรับกิจกรรมสาธารณะได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว แม้เพื่อนในทีมจะมีความกลัวในเรื่องของการขัดแย้งทางความคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ในวันจัดกิจกรรมจริงกันอยู่บ้าง แต่โดยส่วนตัวแล้วมีความเชื่อมั่นในตัวของกิจกรรมอยู่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้คนที่มีความคิดที่แตกต่างหลากหลายได้มาอยู่ร่วมกัน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนความคิดไปเห็นพ้องกับฝ่ายที่คิดเห็นตรงข้าม หากแต่แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดอะไรอยู่ และเพราะเหตุใดเขาจึงคิดเช่นนั้น ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอกับการเปิดหู เปิดใจ รับฟังความคิดเห็นของคนที่คิดต่างจากตัวเอง เพื่อลดความเป็นอื่นในระหว่างผู้คน และมีความเชื่อมั่นในการเป็นกระบวนกร Process Work ของทีมเราค่อนข้างมาก เพราะเป็นทีมกระบวนกรที่มีทักษะที่แตกต่างหลากหลายกันไม่ต่างอะไรกับผู้เข้าร่วม ดังนั้นความแตกต่างหลากหลายที่มีอยู่แล้วในตัวของทีมกระบวนกรและผู้เข้าร่วมที่จะมาพบกัน จึงน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำพื้นที่ของกิจกรรมนี้ไปสู่พื้นที่แห่งความสมดุลทางความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย
ก่อนวันจัดงานยังมีเรียน Process Work อยู่ ในหัวข้อ Tao of Conflict อยู่ ทำให้ไม่รู้สึกว่าต้องมีความกังวลใดๆ กับกิจกรรมนี้ เพราะยังจำได้ดีถึงวันที่ต้องขึ้นไปเป็นกระบวนกรนำกิจกรรม Group Process ที่ประเทศสเปนว่า แมคได้มาย้ำว่าให้เราเชื่อมั่นใน “The Power of One” รวมถึงหลายครั้งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับ Deep Democracy Institute ร่วมกับเพื่อนนานาชาตินั้น ในตอนจบกิจกรรมได้มีเพื่อนต่างชาติเข้ามาทักทายและกล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณนะที่ช่วย hold energy ให้กับวงของการเรียนรู้ในครั้งนั้น” ด้วยเหตุนี้เองจึงตั้งใจไว้ว่าไม่ว่าจะมีความขัดแย้งทางความคิดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในกิจกรรมวันนั้นเราและเพื่อนๆ ในทีมกระบวนกรจะสามารถนำพากิจกรรมให้ผ่านไปได้ด้วยดี
และเมื่อได้เห็นหน้าของผู้เข้าร่วมในวันงานใจฟูขึ้นมาทันที เพราะในกลุ่มผู้เข้าร่วมนั้นมีคนที่รู้จักน่าจะเกินครึ่งห้อง และส่วนมากในคนกลุ่มนี้คือคนที่รู้จัด Process Work ด้วย ทำให้ความวางใจที่มีอยู่แล้วได้เพิ่มพูนขึ้นอีกเกือบสองเท่า ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่สวยงามและน่าอัศจรรย์ที่สุดในวันงานคือ ผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้พูดคนที่สามที่เป็นแขกรับเชิญของทีมกระบวนกร คือเขากล้าที่แสดงความเปราะบางของตัวเองออกมาในพื้นที่สาธารณะแห่งนี้ ซึ่งนั่นแสดงว่าเขารู้สึกปลอดภัยกับพื้นที่แห่งนี้มากพอที่จะแสดงความเปราะบางของตัวเองออกมาได้อย่างไม่ขัดเขินแต่อย่างใด
ส่วนตัวมองว่านี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของกิจกรรมในวันนั้น เพราะการที่มีใครสักคนกล้าแสดงความเปราะบางของตัวเองออกมาได้อย่างอิสระ ทำให้ผู้เข้าร่วมที่อยู่ในห้องนั้นเกิดความรู้สึกปลอดภัยในพื้นที่การจัดกิจกรรมแห่งนี้มากขึ้นไปด้วย ทำให้การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมหลังจากนั้นเป็นไปอย่างอิสระและลื่นไหล และเชื่อว่าถ้ามีเวลาเพิ่มให้อีกสัก 1-2 ชั่วโมง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นก็ยิ่งจะน่าสนใจมากขึ้น เพราะเวลาที่มีสำหรับการแลกเปลี่ยนแค่ชั่วโมงกว่าๆ ในวันนั้น (หลังการเกริ่นนำกระบวนการของกระบวนกร) ทำได้แค่ให้ผู้เข้าร่วมได้นำเสนอประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ลงลึกถึงความคิด ความเห็น ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังประสบการณ์ต่างๆ ที่ผู้เข้าร่วมเหล่านั้น แต่แค่ผู้เข้าร่วมทุกคนในวันนั้นให้ความไว้วางใจกับพื้นที่กิจกรรมนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้กระบวนกร Open Forum หน้าใหม่อย่างเรารู้สึกใจฟูไปทีเดียว
จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมแต่ละคนทำให้พบว่า แม้เราทุกคนจะไม่ใช่คนมีอำนาจในสังคมเท่าใดนัก แต่ทุกคนก็มีความรักชาติบ้านเมืองนี้ไม่ต่างกัน และมีวิธีการที่จะแสดงออกที่แตกต่างหลากหลายตามบริบทของชีวิตของแต่ละคน ซึ่งการแสดงออกที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในทันทีทันใด หากแต่เมื่อคนแต่ละคนที่เป็นสมาชิกของสังคมขนาดใหญ่แห่งนี้มีพื้นที่ มีวิธีการที่หลากหลายที่เหมาะสมกับบริบทของชีวิตตัวเองในการแสดงออกถึงความรักบ้านเมืองของตัวเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยกันให้บ้านเมืองนี้ดำเนินไปได้อย่างสันติ









Comments