top of page

T2-9 | ละครและเสวนา “ศิลป์และจิตวิญญาณแห่งเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพ”

1 มี.ค. 68  10:00-12:00 น.  เดอะ มิตร-ติ้ง รูม (The Mitr-ting room)  ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ : สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

นำเสวนา : ผศ.ดร.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์, ฆอชาลี อาแว และ

ชาริต้า ประสิทธิหิมะ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล, 

ณัฐยา สุทธิสว่าง โรงเรียนสุทธิ์รักษ์ และ ชิษณุพงษ์ สรรพา ผู้ช่วยกระบวนกร



“สงครามคือการตัดขาดมิตรภาพ การรักษาและฟื้นฟูถักทอมิตรภาพให้แข็งแรง หยั่งรากลึกจากรุ่นสู่รุ่นนั้น สร้างสันติภาพที่มั่นคงยั่งยืน”


สดับเสียงทายาทแห่งมิตรภาพข้ามศาสนาและรุ่นวัยจากชายแดนใต้ ร่วมขบคิดใคร่ครวญผ่านศิลป์และจิตวิญญาณแห่งเขา ป่า นา เล จะนะ ร่วมชมปัญญาปฏิบัติแห่งแผ่นดิน


ขอเชิญมาเป็นหุ้นส่วน หนุนเสริมการแปลงเปลี่ยน ก้าวข้ามกับดักการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ไปสู่การสร้างสุขภาวะ สันติภาพ และความเป็นธรรมแบบองค์รวม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ

ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


นำเสนอศักยภาพของพื้นที่จะนะ ผ่านการแสดงละครเด็ก “เพื่อนรักษ์จะนะ” สะท้อนมิตรภาพการอยู่ร่วมกันของชาวพุทธและมุสลิม การเคารพเกื้อกูลต่อสรรพสิ่ง วิถีชีวิต วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติอันงดงาม และร่วมเสวนารับฟังเรื่องราวของชาวบ้านในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา กับนักวิชาการสันติวิธี ที่สะท้อนภาพปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน จากการรุกล้ำพื้นที่ แผนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนา อันส่งผลกระทบต่อความเป็นจะนะ พร้อมเชิญชวนผู้เข้าร่วมได้ร่วมกันหาแนวทางช่วยเหลือและทำให้พื้นที่นี้ยังคงความงดงามต่อไป

 

เริ่มด้วยผู้นำเสวนาแจกกระดาษโพสต์อิต ชวนผู้เข้าร่วมสำรวจความคิดว่า “จะนะที่คุณรู้จัก” เป็นอย่างไร ให้แบ่งปันกันในวงใหญ่ก่อนนำมาติดร่วมกันบนกระดาษฟลิปชาร์ตกลางห้อง

 

ชมการแสดงละครโดยกลุ่มเด็กนักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ โรงเรียนศาสนบำรุง และโรงเรียนสุทธิ์รักษ์ โดยเนื้อหาในละครสะท้อนให้เห็นเอกลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ศักยภาพ และของดีในความเป็นจะนะ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมรู้จักและเข้าใจความเป็นจะนะ ปิดท้ายด้วยป้ายผ้าแผนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาพื้นที่จะนะ

 

เมื่อละครจบลงจึงให้ผู้เข้าร่วมเขียนกระดาษโพสต์อิตอีกใบหนึ่งถึง “จะนะที่คุณรู้สึก” เป็นอย่างไร มีของดีอะไร แล้วให้บางส่วนได้แบ่งปันออกมาในวงใหญ่  เกิดการสะท้อนภาพความงดงามของวิถีชีวิต การผสมผสานของวัฒนธรรม ภูมิปัญญา เช่น การสังเกตธรรมชาติ การฟังเสียงปลา และของดีของท้องถิ่นอย่างกรงนกเขา

 

ผู้นำเสวนา ฉายภาพสไลด์แนะนำตัวและบอกที่มาของงานนี้ ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่ทำมาต่อเนื่องหลายปี จากโครงการ “เพื่อนรักต่างศาสนา: ผู้นำการขับเคลื่อนถักทอสันติภาพและการปรองดองในสังคมไทย”  จนเกิดการพัฒนาเป็นเครือข่าย สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมรับฟังเสียงชาวบ้าน จัดทำเป็นฐานข้อมูล พัฒนากระบวนการละคร จัดทำแผนที่ทรัพยากรและบอกเล่าผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาที่จะนะกำลังเผชิญอยู่ เช่น การก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิมความสูงระดับเกิน 100 เมตร โดยไม่ผ่านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือการสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งผลกระทบไม่เพียงแต่เกิดกับพื้นที่เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปวงกว้าง เช่น คุณภาพอากาศ หรือความมั่นคงทางอาหาร

 

จากนั้นชวนผู้เข้าร่วมได้ร่วมกันระดมสมอง อันเป็นการร่วมทุกข์ แสดงความหวัง และความร่วมมือกับชาวจะนะ โดยแบ่งหัวข้อเป็น 5 หัวข้อ  โดยให้ผู้เข้าร่วมเลือกหัวข้อที่ตนสนใจ ได้แก่   (1) ความมั่นคงทางอาหาร   (2) รักษ์ทะเลจะนะเพื่อโลกของเรา   (3) เราจะช่วยรักษาพื้นที่วัฒนธรรมร่วม   (4) ความรุนแรงและสันติภาพชายแดนใต้   และ (5) การมีส่วนร่วมการพัฒนาเชิงพื้นที่ในสังคม  บรรยากาศการแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างอบอุ่นและมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพยายามช่วยหาแนวคิดวิธีการเพื่อปกป้องดูแลและรักษาจะนะไว้

 

ข้อสรุปหลักๆ และแนวทางแก้ปัญหาที่งานนี้นำเสนอ คือความคิดเห็นจากคนทั้งภายนอกและภายใน จะนะ เพื่อรับฟังและเก็บรวบรวมไว้เป็นข้อมูลทำงานต่อไป นอกจากการแสดงออกทางความคิดเห็นแล้ว สิ่งสำคัญที่มองเห็นจากงานนี้ คือมิตรภาพ รอยยิ้ม และสีหน้ารับรู้ไปกับความทุกข์ ความรู้สึกผูกพัน รักและเห็นคุณค่าในความเป็นจะนะ ที่อยากปกป้องรักษาไว้

 

การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย ความเคารพในความเป็นมนุษย์ รับมือกับความขัดแย้งได้โดยปราศจากความรุนแรง สะท้อนให้เห็นคุณค่าที่มีต่อสันติภาวะ อีกทั้งละครสะท้อนภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ทำให้เห็นการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล เคารพในความแตกต่างหลากหลาย ทั้งผู้คน ไม่ว่าเพศหรือวัยใด วิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา ทรัพยากรและธรรมชาติ

 


มิตรภาพข้ามศาสนา คือสันติภาพที่ยังยืน

“รักษ์จะนะ รักษ์ทุกพื้นที่ในไทยด้วย”

(เป็นประโยคกล่าวจบของเด็กชายคนหนึ่งชาวจะนะ จ.สงขลา)




ผู้เขียน   ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68







บทสะท้อนจากห้องห้องประชุมย่อย สุขภาวะทางจิตวิญญาณในพื้นที่ปฏิบัติการ (จะนะ): ศิลป์และจิตวิญญาณแห่งเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพ



โหมโรง

 

สงครามคือการตัดขาดมิตรภาพ การรักษาและฟื้นฟูถักทอมิตรภาพให้แข็งแรง หยั่งรากลึกจากรุ่นสู่รุ่นนั้น สร้างสันติภาพที่มั่นคงยั่งยืน” ขอเชิญมาเป็นหุ้นส่วนหนุนเสริมการแปลงเปลี่ยน ก้าวข้ามกับดักการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ไปสู่การสร้างสุขภาวะสันติภาพและความเป็นธรรมแบบองค์รวมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล

 

ข้อความเชิญชวนข้างต้นเป็นข้อความที่โครงการเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพใช้สำหรับชวนเชิญผู้คนในสังคมที่ปรารถนาจะเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเคารพในความแตกต่างหลากหลายที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันภายใต้สังคมชุมชนเดียวกันมาหลายปี ก่อนที่จะเปลี่ยนวิธีการเชิญชวนมาแป็นละครเวที “เพื่อนรัก(ษ์)จะนะ” ละครเวทีที่เปิดการแสดงครั้งแรกในวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมน้ำพราว โรงแรม ซีเอส ปัตตานี อย่างที่แทบไม่มีใครจะเชื่อมั่นว่างานที่เพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพพยายามผลักดันการขับเคลื่อนสร้างสันติภาพจากชุมชนฐานรากจะสามารถทำงานให้บังเกิดสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมได้ ทว่าผู้เขียนเชื่อมั่นว่าด้วยพลังความมุ่งมั่นอันบริสุทธิ์ของพวกเรา ที่สุด สังคมจะได้เห็นและเป็นประจักษ์พยานให้พวกเรา

 

ละครเพื่อนรักษ์จะนะ เกิดขึ้นจากคนตัวเล็ก ๆ ไม่กี่คน เราร่วมกันเขียนบทละครหลังจากที่เราทำงานกับชุมชนและจัดค่ายฤดูร้อนพาผู้คนตัวเล็ก ๆ ทายาทของชาวจะนะจากสามโรงเรียนลงพื้นที่ไปเรียนรู้ประวัติศาตร์ขุมทรัพย์สันติภาพในชุมชน ค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ในรูปของเรื่องเล่าความสัมพันธ์ แผนผังทรัพยากรชุมชน และที่สำคัญคือ จิตวิญญาณของผู้คนที่ใช้ภาษาสะกอมเป็นภาษาแม่ (mother tongue)  แสดงโดยเด็กและเยาวชนของจะนะ ทายาทของนักต่อสู้เพื่อปกปักษ์รักษาฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ที่หล่อเลี้ยงบรรพบุรุษของพวกเขามาแล้วหลายชั่วอายุคน  มาคราวนี้ในงานประชุมวิชาการระดัยชาติครั้งที่ 2 สุขภาวะทางปัญญา’68: จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง ที่พวกเราได้รับการเชิญชวนกลับมาจากทางผู้ประสานงานหลักบ้าง แน่นอนว่าพวกเราเพื่อนรักรุ่นเยาว์จะนะ ย่อมตื่นเต้นดีใจและเตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทาง  เป้าหมายสำหรับพวกเราคือการบอกเล่าเรื่องราวของมิตรภาพ ความรัก ความปรารถนาดีที่เรามีต่อลมหายใจของโลกใบนี้

 


จิตวิญญาณจะนะ

 

จะนะ ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่เดินผ่านกาลเวลาแห่งความท้าทายมาหลายรูปแบบตามยุคสมัย ในอดีตกันไกล จะนะ เป็นด่านหน้าที่ระหว่างอาณาจักรลังกาสุกะ อาญาจักรศรีวิชัย และอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เมื่อผ่านยุคสมัยมาถึงกรุงเทพฯ จะนะ กลายเป็นพื้นที่ด่านหน้าที่นโยบายการพัฒนาขนาดใหญ่หลายรูปแบบพยายามที่จะเบียดแทรกและทำให้จิตวิญญาณความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของจะนะแตกออกเป็นหลายเสี่ยง มิพักต้องเห็นบรรพชนของจะนะออกมาเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อจะเก็บรักษาฐานทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ไว้ให้คนรุ่นหลัง  การรวมพลังของคนจะนะในการปกป้องบ้านและฐานทรัพยากรถูกส่งต่อมายังลูกหลานชาวจะนะรุ่นต่อรุ่น จากรุ่นลุงแทน มาถึงรุ่นหลานอุ้ม จากรุ่นบังนี มาถึงรุ่นไครียะห์ และคนเหล่านี้กำลังเชื่อมใจและจิตวิญญาณเป็นสายธารที่มิรู้เหือดแห้ง แม้ระหว่างทางจะเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วง ทว่าจิตวิญญาณแห่งการร่วมทุกข์ร่วมสุขเหล่านั้นไม่เล็ดลอดสายตาของคนรุ่นหลัง

 

คงต้องขอแสดงความขอบคุณจากหัวใจไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล ที่สนับสนุนงบประมาณให้ผู้เขียนได้ลงไปทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ในโครงการเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพฯ ทั้งที่มหาวิทยาลัยเองก็ยังงุนงงสงสัยว่ามหาวิทยาลัยจะมีส่วนทำอะไรเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ได้บ้างผ่านโครงการที่ผู้เขียนนำเสนอเพื่อขอรับทุนสนับสนุนเมื่อปี 2563 แม้จะยังไม่ค่อยชัดว่าจะได้เห็นอะไร แต่ขอบคุณมหาวิทยาลัยที่เชื่อใจและให้อนุญาตผู้เขียนลงทำงานในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทีละเล็กทีละน้อยที่ค่อย ๆ ถักสานเชื่อมสัมพันธ์โยงใยไปแบบแมงมุมเพื่อนรักจนได้ร่วมงานกับเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นและสามโรงเรียนนำร่องที่พร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกันภายใต้ความมาดปรารถนาจะสานต่อจิตวิญญาณของจะนะให้คงอยู่ต่อไป

 


จากเพื่อนรักรุ่นใหญ่สู่เพื่อนรักรุ่นเยาว์ “จะนะ”

 

ย้อนกลับไปกลางปี 2565 เมื่อมีการประกาศจะสร้างเจ้าแม่กวนอิมใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากที่การประกาศสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะถูกคัดค้านจากผู้คนในพื้นที่  การสร้างเจ้าแม่กวนอิมสะกอมขนาดใหญ่ในชุมชนที่ร้อยละ 99 เป็นชาวมุสลิมก็เป็นประเด็นที่ทำให้ “จะนะ” เข้ามาอยู่ในจุดสนใจของสื่อและสังคมอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มาพร้อมกับร่องรอยแยกทางความคิดของผู้คนที่มีศรัทธาต่างกัน กล่าวคือ มุสลิมไม่เคารพศรัทธาในรูปเคารพใด ๆ กับคนไทยทั้งเชื้อสายจีนและคนพุทธที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ก่อสร้างและนอกพื้นที่ก่อสร้างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปบ้างสนับสนุนการก่อสร้าง บ้างคัดค้าน บ้างก็วิพากษ์การต่อต้านของพี่น้องมุสลิมและมีการปลุกระดมสร้างความเกลียดชังผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก กระทั่งเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายหน้าหากมิรีบป้องกันเหตุเสียก่อน  จึงได้เชื้อเชิญผู้นำศาสนามาร่วมหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ สร้างความไหวรู้เท่าทันและป้องกันความแตกแยกระหว่างชุมชนต่างศาสนาและความเชื่อ การทำงานร่วมกันระหว่างผู้นำศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายจากภายนอก กระนั้น ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อความดี ความงาม และสายสัมพันธ์ที่ถักทอร้อยเรียงกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นเข้มแข็งและมีพลังพอที่จะเสริมให้แข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรับแรงเสียดสีจากภายนอกได้

 

กระบวนการสานเสวนาระหว่างผู้นำศาสนาและภาควิชาการจากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษาดำเนินไปอย่างเงียบงันแต่ทรงพลังในการโอบรวมผู้คนอีกหลายชีวิตให้เข้ามาร่วมขบคิดและสร้างจินตนาการเพื่อแสวงหาหนทางในการคลี่คลายปมปัญหาที่ชุมชนกำลังเผชิญอยู่อย่างสร้างสรรค์

 

ปี 2566 – 2567 กระบวนการทำงานร่วมกันภายใต้กรอบคิดเรื่อง “มิตรภาพเพื่อสันติภาพ” และโมเดลเพื่อนรักต่างศาสนา หยั่งรากและเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น การมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาบนฐานคิดเรื่องความมั่นคงของสุขภาวะองค์รวม คือ มีความมั่นคงทางอาหารจากควน ป่า นา เล เป็นฐานชีวิตที่ปลอดสารพิษและส่งต่อเป็นฐานชีวิตให้คนทั้งโลกได้  มีอากาศสะอาดปลอดสารพิษที่ทุกคนสามารถสูดลมหายใจเข้าไปได้อย่างไม่ต้องวิตกกังวล ด้วยความเชื่อมั่นและตระหนักรู้ว่า ในทุกลมหายใจเข้าและออกของเราทุกคนใต้แผ่นดินโลกเดียวกัน เราล้วนแลกเปลี่ยนลมหายใจเดียวกันทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่อาจจะทำให้เราแตกต่างไปจากกันบ้างก็คือ ฐานมรดกทางสังคมวัฒนธรรมอันเป็นสิ่งเฉพาะของผู้คนในย่านนี้ที่ใช้ภาษาสะกอมเป็นสื่อกลางในการเชื่อมรากจิตวิญญาณเราเข้าด้วยกัน พวกเราทุกรุ่นวัยจึงตกลงใจจะใช้แนวทางการพัฒนาที่ยึดโยงกับจิตวิญญาณแห่งการโอบอุ้มโลกไว้ให้ยั่งยืน มิใช่เพื่อคนจะนะเท่านั้น แต่สำหรับคนทั้งโลก

 

ปี 2567  ละคร “เพื่อนรักษ์จะนะ” ถือกำเนิดขึ้นจากการตกผลึกร่วมกันหลังจากที่เครือข่ายได้ขุดค้นพบรากเหง้าที่เชื่อมจิตวิญญาณของเราเข้าด้วยกันผ่าน “วัดกะเสะ”  หรือ “วัดโต๊ะเสะ” ในความทรงจำของคนพื้นที่ แม้ว่าวัดดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเกษมรัตน์” ไปแล้ว ทว่าความทรงจำร่วมรากยังคงเป็น  “ขุมทรัพย์สันติภาพ” ที่พยุงค้ำสายสัมพันธ์ระหว่างชุมชนสองศาสนาและความเชื่อระหว่างพุทธ-มุสลิมได้อย่างมีพลังเหลือล้น และเป็นความภาคภูมิใจที่ถ่ายทอดออกมาเป็นบทละคร ที่พร้อมจะนำไปถักทอสานต่อให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้ใช้เป็นเครื่องมือถักสานสายใยสังคม

 


ถึงคราวลูกหลาน  “จะนะ” จะได้เข้ากรุง

 

ระหว่างที่พวกเราตื่นเต้นดีใจว่าจะได้มีโอกาสไปบอกเล่าเรื่องราวของพวกเราให้ชาวกรุงเทพฯ ได้รับรู้ รับฟังและร่วมแบ่งปันสุขทุกข์ที่พวกเราแบกกันมาในรอบหลายปีแทนที่จะให้เป็นภาระของลุง ป้า บัง ก๊ะ อย่างที่เคยเป็นมา  เราวางแผนจัดประชุมออนไลน์กันเป็นระยะ ๆ ท่ามกลางความท้าทายด้วยเป็นช่วงจังหวะที่นักแสดงของเราหลายคนมีภารกิจที่จะต้องเตรียมสอบเข้าโรงเรียนใหม่ในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป  บางคนต้องไปแข่งขันทักษะต่าง ๆ  เวลาที่จะเตรียมตัวจึงค่อนข้างจำกัด กระนั้น พวกเราพยายามที่จะสื่อสารและแทรกจังหวะเวลาเพื่อประชุมออกแบบกำหนดการ และ เตรียมการในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะต้องวิ่งไปสถานีรถไฟเพื่อจะตรวจสอบราคาค่าตั๋ว  กลับมาวัดส่วนสูงของนักแสดงแต่ละคน ทำเรื่องขออนุญาตจากผู้ปกครอง เตรียมอุปกรณ์ประกอบฉากการแสดง  บางครั้งเราต้องนัดประชุมกันยามค่ำในสภาพที่ทุกคนอิดโรยแต่ใจยังสู้ไม่ถอย

 

เมื่อจะต้องไปสื่อสารกับคนข้างนอก พวกเราออกแบบจัดวงแลกเปลี่ยนสนทนาและทำงานร่วมกันอย่างละเอียดมากขึ้นเพื่อจะเก็บหลักฐานที่แสดงถึงความงดงามและอุดมสมบูรณ์ของจะนะบ้านของเราเพื่อไปให้คนข้างนอกได้รับรู้  ระหว่างการเตรียมงาน ภาพลุงป้าน้าอา ก๊ะ บัง พระ และผู้นำศาสนาทำงานร่วมกัน ภาพการละหมาดขอพรร่วมกันเป็นภาพที่พวกเราคุ้นเคยถูกนำมาทบทวนคุณค่าความหมายที่มีต่อพวกเราเป็นการภายใน แต่สำหรับคนข้างนอก พวกเขาอาจจะไม่เคยรับรู้  ความท้าทายสำหรับพวกเราคือการหวนกลับไปทบทวนคุณค่าความหมายที่อยู่เบื้องหลังจะทบทวนเป้าหมายที่พวกเราลุกขึ้นมารวมพลังกันก่อนหน้านี้ว่ามีเป้าหมายอย่างไร ก่อนจะขับเคลื่อนเดินทางต่อไป

 

ภาพที่พวกเราคุ้นเคยยามที่พวกเราเห็นภาพชาวลุงป้าน้าอา บาบอ อุสต๊าซชาวจะนะที่เป็นเครือญาติของพวกเราต้องหอบข้าวของขึ้นรถไฟเดินทางไปกรุงเทพฯ ไปประท้วงบ้าง ไปสื่อสารกับผู้มีอำนาจบ้างเพื่อจะบอกว่าจะนะบ้านของเรามีดีอยู่แล้วในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทะเล ควน  ป่า และนาข้าว แต่หลายครั้งพวกเราก็เห็นภาพข่าวที่สื่อสารไปในทำนองว่า “จะนะ” บ้านของเราเป็นพื้นที่ด้อยพัฒนา ล้าหลังและกล่าวหาว่าเครือญาติของพวกเราเป็นพวกต่อต้านการพัฒนา เรื่องราวเหล่านี้ แม้ว่าจะอาจจะดูหนักไปสำหรับพวกเราในบางครั้ง แต่คือความจริงที่พวกเราได้สัมผัสรับรู้ จึงอยากจะไปบอกคนกรุงเทพฯ ว่าบ้านของเรามีดีอะไรบ้าง เราอยากเห็นทิศทางการพัฒนาแบบไหน และเรารักบ้านของเราอย่างไร พวกเราเห็นพ้องกันว่าจะต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนรุ่นเราแล้วที่จะได้ไปบอกให้คนอื่น ๆ ในสังคมด้วยเสียงของพวกเราเองบ้าง

 

ความท้าทายของพวกเราสำหรับคราวนื้คือ นักแสดงของพวกเราเพื่อนรักรุ่นเยาว์จากเดิมที่มีเพียง 9 ชีวิต คราวนี้เพิ่มมาอีก 3 เป็น 12 ชีวิตที่จะต้องมาแสดงละครร่วมกัน แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นลูกหลานของชาวจะนะโดยสายเลือด แต่บางคนพูดภาษาสะกอมได้อย่างเป็นธรรมชาติเพราะในครอบครัวยังใช้ภาษาสะกอมอยู่ บางคนเริ่มจะพูดภาษาสะกอมไม่ค่อยชับ (ชัด) เพราะครอบครัวทำงานในระบบที่ใช้ภาษาไทยกลางเป็นหลัก มีบางส่วนที่พูดภาษามลายูได้ เด็กผู้ชายบางคนใช้เวลาในวันหยุดติดตามผู้ปกครองไปหาปลา แต่วิถีของการพัฒนาสมัยใหม่เริ่มพรากวันเวลาและโอกาสที่เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติตามวิถีชีวิตของบรรพบุรุษออกไปเรื่อย ๆ ความท้าทายสำคัญก็บังเกิดเพราะผู้เขียนไม่ได้ลงไปทำงานในพื้นที่เหมือนก่อนหน้านั้น การจะฝึกซ้อมย่อมเป็นความรับผิดชอบของทั้งครูและนักแสดงทุกคนที่อยู่ในพื้นที่จะนะ 


กระนั้น จุดยึดโยงที่สำคัญคือโรงเรียนวิถีพุทธ และโรงเรียนวิถีมุสลิมแบบเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่นำให้เด็ก ๆ จากทั้งสามโรงเรียนได้ซึมซับวิถีชีวิตและจิตวิญญาณแห่งจะนะ ในแบบสังคมพหุวัฒนธรรมเข้มแข็งไว้ภายใต้การนำของคุณครูจากทั้งสามโรงเรียนที่เป็นทายาทจะนะรุ่นพี่ คณะครูของทั้งสามโรงเรียนนับเป็นตัวแสดงที่สำคัญที่รับสืบทอดจิตวิญญาณจะนะมาส่งต่อให้นักเรียนรุ่นน้อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ครูอุ้ม” ทายาทโรงเรียนวิถีพุทธ “สุทธิ์รักษ์” ซึ่งตั้งมากว่า 6 ทศวรรษ และเป็น 6 ทศวรรษที่โอบรับนักเรียนมุสลิม จีน พุทธไว้ในอ้อมกอดแห่งความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขและเป็นคุณครูที่ทำงานอย่างแข็งขันในทีมเพื่อนรักต่างศาสนามาตั้งแต่ต้น  ขณะที่ “ครูฟารีดา” ครูร่างเล็กแต่หัวใจยิ่งใหญ่แห่งจริยธรรมศึกษาผู้มีจิตวิญญาณสะกอมเต็มเปี่ยม ผู้คอยประสานทั้งใจและมือกับครูอุ้มในการจัดเตรียมนักแสดงให้มีความพร้อมในการถ่ายทอด  “ครูรอฮานา”  ช่วยไตร่ตรองสะท้อนคิด จับประเด็นเติมเต็มเรื่องราวต่าง ๆ และช่วยฝึกซ้อมการแสดง “ครูหนิง” รับหน้าที่ปรับบทละครให้ตรงประเด็นตามที่ผู้เขียนได้สื่อสารและแทรกบทเพื่อให้สื่อสารกับผู้ชมที่อาจจะไม่เคยรู้จักจะนะมาก่อน ความคมชัด ตรงประเด็น และสะท้อนความมีชีวิตชีวาเป็นหัวใจสำคัญเพื่อสื่อสารกับผู้ชม ให้เข้าถึงหัวใจ  หนทางไกลและเวลาที่บีบรัดไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเรา ครูทุกคน และนักแสดงตัวน้อยของเรายินดีทำงานหนักเพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด โดยมีครูหนิงช่วยรับบทผู้กำกับการแสดงและควบคุมการแสดงหน้าฉากในทุกรอบการแสดง

 

พวกเราพยายามที่จะจัดการเวลา อารมณ์ ความรู้สึกและสื่อสารกันเป็นระยะ ผสานทั้งปัญญาและจิตวิญญาณไปด้วยกัน กระท่อนกระแท่นบ้างแต่พยายามที่จะกลับมาอยู่ในหนทางที่จิตวิญญาณของพวกเราจะขับเคลื่อนไปให้ถึงซึ่งเป้าหมายคือสุขภาวะทั้งภายในและภายนอก และที่สำคัญคือ สุขภาวะองค์รวมของสังคมที่เรารอจะส่งต่อให้กับคนทั้งสังคม

 


จะไปบอกให้คนข้างนอกรักจะนะอย่างไร

 

สำหรับพวกเรา “เพื่อนรักษ์จะนะยั่งยืน” ซึ่งเป็นกลุ่มงานในโครงการเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อสันติภาพ และเป็นหนึ่งในสี่ของพื้นที่นำร่องของโครงการใหญ่ การทำงานประสานกันเป็นเครือข่ายโดยมีผู้นำทางจิตวิญญาณเป็นผู้นำศาสนาทั้งพุทธ – มุสลิม และมีโรงเรียนสามแห่ง คือ โรงเรียนสุทธิ์รักษ์  โรงเรียนจริยธรรมศึกษา และโรงเรียนศาสนบำรุง ที่ร่วมขับเคลื่อนทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิด แต่ภารกิจที่พวกเราเพื่อนรักรุ่นเยาว์จะไปสื่อสารกับโลกข้างนอก ไม่น่าจะง่ายนัก เพราะถ้าหากว่าง่าย บรรดาผู้ใหญ่ของเราที่ออกไปสื่อสารหลายครั้งคงไม่ต้องชอกช้ำกลับมา บางคนมีคดีความติดตัวกลับมาด้วย  ดังนั้น กระบวนการทบทวนจิตวิญญาณความเป็นคนจะนะที่ตระหนักรู้ในคุณค่าขุมทรัพย์มรดกทางความสัมพันธ์ที่ถักทอกันขึ้นมาจากการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนาน จึงนำมาสู่การจัดกระบวนการประชุมหลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเราทุกคนมองเห็นภาพเดียวกัน และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเข้าใจ

 

ระหว่างการเตรียมการ พวกเราช่วยกันไตร่ตรองสะท้อนคิดทบทวนอดีต มองหารูปธรรมของจิตวิญญาณจะนะที่เป็นขุมพลังส่งต่อและหล่อเลี้ยงให้คณะทำงานรุ่นปัจจุบันที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายรุ่นวัยแต่เชื่อมหัวใจและจิตวิญญาณเข้ากับผู้ที่มาก่อนบนฐานของ “ความรักและตระหนักรู้คุณค่าในความเป็นจะนะที่มิได้เป็นเพียงแค่ชื่อพื้นที่ แต่คือ สายสัมพันธ์และการเคารพต่อกันระหว่างคนกับธรรมชาติที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น “จะนะ” ในวันนี้ที่พวกเรารักและอยากจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป

 


ก่อนจะถึงวันออกเดินทาง

 

ในความตื่นเต้น ผสมความกังวล ปะปนกับความรู้สึกที่ต้องต่อรองเพื่อจะรักษาอัตลักษณ์ตัวตนของคนจะนะ ด้วยวันที่ 1 มีนาคมจะเป็นวันแรกของเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม สำหรับคนที่บรรลุวุฒิภาวะแล้ว การถือศีลอดเป็นกิจทางศาสนาสำคัญแต่การเดินทางและการต้องแสดงละครในวันแรกของการถือศีลอดก็เป็นสองสิ่งที่ต้องปฏิบัติ  แม้จะรู้ล่วงหน้าแต่การถือปฏิบัติในระหว่างการเดินทางออกมาในพื้นที่ที่มิใช่สังคมมุสลิมก็ท้าทายยิ่งนัก ร้านอาหารฮาลาลที่จะเปิดบริการให้รับประทานอาหารก่อนพระอาทิตย์ขึ้นน่าจะหายาก เราพยายามหาทางที่จะเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด เพื่อนร่วมทางทั้งพุทธและมุสลิมเข้าใจในวิถีของกันและกัน ส่วนผู้เขียนซึ่งเป็นคนตระเตรียมต้อนรับอยู่ทางกรุงเทพฯ นั้นเป็นคริสต์ที่ต้องวิ่งหาร้านอาหารฮาลาลไว้สำหรับเพื่อนมุสลิม ส่วนเพื่อนพุทธนั้นไม่ค่อยมีข้อจำกัดในการกิน

 


เพื่อนรักผจญภัย

 

เมื่อถึงวันเดินทางจริง คณะนักแสดงของเราต้องแยกออกเป็นสองสาย สายหนึ่งเดินทางด้วยเครื่องบินทหารจากสนามบินค่ายอิงคยุทธบริหาร ปัตตานี   อีกสายหนึ่งเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีจะนะ สงขลา  ความตื่นเต้นเกิดแก่สายที่เดินทางด้วยเครื่องบินมากกว่าสายที่เดินทางด้วยรถไฟ  นักแสดงตัวน้อยลงจากเครื่องบินด้วยอาการหูดับ เพราะเสียงเครื่องบิน  ขณะที่สายที่เดินทางรถไฟออกเดินทางตอนเย็นและกำหนดถึงกรุงเทพฯ ในเช้าถัดไป  อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดทั้งสองสายก็ฝ่าฟันและพบกันทันเวลาที่ต้องแสดง

 

เมื่อเวลาแสดงมาถึง โจทย์ยากเกิดขึ้นฉุกเฉินหน้างาน เมื่อคณะของเราวางแผนจะปรุง   “ข้าวดอกลาย” เพื่อให้คนกรุงได้เห็นและได้ชิมของดีจากจะนะ ไม่ว่าจะเป็น “กะปิสะกอม” “ปลาทะเล” และเครื่องปรุงที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรท้องถิ่น ความกังวลของทีมงานกลางที่เกรงว่ากลิ่นจะคละคลุ้งฟุ้งไปทั่วงานทำให้ทีมของเราไม่ค่อยจะกล้าบรรเลงฝีมือเท่าไรนัก แผนที่วางไว้ก่อนหน้าสะดุดไปบ้าง แต่เป้าหมายที่เราอยากจะให้คนกรุงได้ชิมข้าวดอกลายและกะปิสะกอมนั้น พอทำได้แบบพอเป็นกระสัย

 


และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง

 

เปิดม่าน

 

คุณรู้จักจะนะในมุมใดบ้าง?

 

คำถามแรกที่พวกเราตั้งคำถามมาตั้งแต่ในมุ้งก็ว่าได้ เราอยากรู้ว่าคนข้างนอกรู้จักจะนะบ้านของเราในแบบไหน

คำตอบอันมหัศจรรย์ใจ เช่น “ไม่รู้จักจะนะ”  “ภาคใต้”

หรือคำตอบที่เปิดประตูสู่คำถามว่า “จะนะ อยู่ที่จังหวัดใดนะครับ”

และคำตอบที่พวกเราชาวเพื่อนรักจะนะเองก็คาดเดาว่าน่าจะได้พบคือ “รู้จักในฐานะที่เป็นกลุ่มประท้วงรัฐ” 

“รู้จักผ่านโครงการท่อก๊าซไทยมาเลเซีย” 

“โรงพยาบาลพึ่งได้”

“คัดค้านนิคมอุตสาหกรรม”

“มีทรัพยากรพอแบ่งปัน”

 “ประมงพื้นบ้าน”

“เคยได้ทราบข่าวจากชาวบ้านว่ามีกลุ่มนายทุนต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดินชายฝั่ง จริงหรือเท็จ”

 

สำหรับเราคนทำงานสันติภาพ การรู้ หรือไม่รู้จักจะนะสำคัญเพราะ “จะนะ” เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกป้ายสีตีตราว่าเป็นพื้นที่สีแดงเช่นเดียวกับอีก 3 อำเภอของจังหวัดสงขลาและสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็นด่านหน้าที่เผชิญความท้าทายทั้งจากสถานการณ์ความรุนแรงถึงตายในรอบกว่าสองทศวรรษตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และย้อนไปไกลก่อนหน้านั้นอีกราวสองทศวรรษเช่นกันจากแนวนโยบายการพัฒนาของรัฐที่มุ่งแปรสภาพความอุดสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรสำหรับมนุษย์และสรรพสิ่งที่มีชีวิตให้กลายเป็นฐานการผลิตสำหรับป้อนเจ้าของธุรกิจเพื่อกำไรผ่านหลายโครงการที่เตรียมการไว้สำหรับรองรับอุตสาหกรรมของพวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่ทำให้ฐานมรดกภูมิปัญญาอันล้ำค่าและความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมในชุมชนบริเวณนี้เสียหายอย่างไม่อาจหวนคืน  รวมทั้งล่าสุดที่จะแปรสภาพพื้นที่สีเขียวเป็นพื้นที่สีม่วงเพื่อรองรับนิคมอุตสหากรรมจะนะ และเมื่อไม่สามารถผลักดันให้นิคมอุตสาหกรรมสร้างได้ตามใจต้องการก็ผันไปสร้างเจ้าแม่กวนอิมที่กล่าวอ้างว่าจะเป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงถึง 136 เมตร ท่ามกลางบริบททางสังคมวัฒนธรรมของคนกลุ่มใหญ่ชาวมลายูมุสลิมซึ่งมีข้อห้ามเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพ โครงการสร้างเจ้าแม่กวนอิมสะกอมกำลังสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกระลอกใหม่ระหว่างผู้คนต่างศาสนาและวัฒนธรรมความเชื่อในพื้นที่จะนะ หรือไม่ ล้วนเป็นคำถามที่ก้องกังวานนับตั้งแต่มีการประกาศจะสร้าง และก่อนที่คณะละครของเราจะเดินทางขึ้นมาแสดงไม่นาน ความรุนแรง ณ พื้นที่ก่อสร้างก็เกิดขึ้น พวกเรารับรู้เหตุการณ์นั้นด้วยความรู้สึกวิตกกังวล และภาวนาให้หาตัวผู้กระทำผิดเพื่อนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณะในเร็ววัน เพราะความขัดแย้งรุนแรงจะขยายวงใหญ่ได้เมื่อความจริงไม่ได้รับการเปิดเผย และความรู้สึกไม่ยุติธรรมถูกปิดกั้นไม่มีที่ทางให้แสดงออก

 

 

คำถามที่สองหลังจากที่การแสดงละครจบลง คือ

 

จะนะที่(คุณ)รู้สึก

 

คำตอบที่ได้รับกลับมาเป็นความรู้สึกของผู้ชม  ได้แก่

“เรียบง่าย” “สุขสบาย” 

“ความรัก”

“มิตรภาพและความอบอุ่น ปลอดภัย” 

“ภาคภูมิใจในธรรมชาติอันสมบูรณ์และผู้คนที่รักบ้านเกิด”

“เป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและสามารถอยู่ร่วมกันได้” 

“ได้ทราบถึงภูมิปัญญาในการฟังเสียงปลา” 

“ความเมตตากรุณา คือแก่นของศาสนาที่มีเหมือนกันต่างกันแค่การแต่งกายและพิธีกรรม”

 “อัตลักษณ์ตัวตน การหลอมรวมความเชื่อสู่ความสันติวิถีที่แตกต่าง”

“ร่ำรวยทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสันติภาพ”

“ภูมิใจ ดีใจ ขอบคุณ ส่งกำลังใจ”

“อุดมสมบูรณ์”

“ความมั่นคงทางอาหาร”

“การอยู่ร่วมกันของพุทธ-มุสลิม และความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ”

“เป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์และมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางสังคมและทางธรรมชาติ”

“รู้สึกได้ถึงการไม่ปิดกั้นเพื่อนต่างศาสนา”

“รับรู้ได้ถึงความห่วงใยต่อความมั่นคงทางอาหาร”

 “รักจะนะจังเลย”

“อยากให้รักษาความเป็นจะนะแบบนี้ไว้ตลอดไป”

“อยากย้ายจาก กทม. ไปอยู่จะนะในบั้นปลายของชีวิต”

 

ไม่ต้องบรรยายว่าพวกเรารู้สึกอย่างไร เพื่อพวกเราได้เห็นข้อความต่างๆ เหล่านี้

 

คำถามที่สาม ที่เราอยากชวนทุกคนมามีส่วนร่วมคลี่คลายความทุกข์และสร้างความหวังให้กับจะนะได้มีความหวังที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตและจิตวิญญาณของจะนะให้เป็นฐานทรัพยากรหล่อเลี้ยงผู้คนในโลกกว้างใหญ่ที่กำลังถูกท้าทายจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ผลผลิตต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ แต่จะนะยังคงยืนหยัดใหนวิถีการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนฐานทรัพยากรธรรมชาติที่บรรพชนคนจะนะได้ปกปักรักษาและส่งต่อให้คนรุ่นต่อ ๆ มาได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ ข้อเสนอของผู้เข้าร่วมสานเสวนาเปิดให้เห็นความปรารถนาจะร่วมทุกข์ และแบ่งปันความสุขให้กับจะนะอย่างชนิดที่ว่า เวลาสำหรับการสานเสวนาที่เรากังวลกันว่าจะใช้ไม่หมดกลับหมดลงอย่างรวดเร็วไม่ทันจะได้ตั้งตัว

 


จิตวิญญาณที่ได้รับการเติมเต็ม

 

สิ้นสุดการแสดงและการสานเสวนาในรอบแรกวันที่ 1 มีนาคม 2568 สิ่งที่พวกเรารับรู้ตรงกันคือ การได้รับการเติมเต็มทางจิตวิญญาณจากผู้เข้าร่วมรับชมการแสดงละคร และสะท้อนผ่านวงสานเสวนาหลังการชมละคร เสียงที่บอกว่า

 

ชมละครแล้วอยากไปรู้จักจะนะให้มากกว่าเดิม

อยากไปเที่ยวจะนะ

เห็นใจคนจะนะ

ขอบคุณที่ต่อสู้และพยายามรักษาทะเลที่อุดมสมบูรณ์และอาหารทะเลที่สะอาดไว้ให้พวกเรา

ขอบคุณที่รักษาแหล่งอากาศสะอาดไว้ให้เราได้หายใจ

ฯลฯ

 

แน่นอนว่าเสียงสะท้อนเหล่านั้น ชุบชูจิตวิญญาณของพวกเราให้เบ่งบาน หัวใจพองโต คลายความวิตกกังวลที่พวกเราแบกกันมาตั้งแต่ช่วงเตรียมงานและนับวันเวลาถอยหลังที่จะได้เห็นผลจากการทำงานหนักของพวกเราบ้าง หากเราจะสามารถจัดวงสานเสวนาได้ในครั้งต่อไป เรายังคิดกันว่าน่าจะเติมผู้คนให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อจะได้ยินเสียงความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ร่วมสังคมได้ลึกซึ้งและหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ 

 


ความคาดหวังที่ยังขาดพร่อง

 

แน่นอนว่าความคาดหวังของพวกเราต่อการเดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ คือ การได้สื่อสารส่งเสียงให้ผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เจ้าของโครงการเจ้าแม่กวนอิมสะกอม เป็นต้น พวกเราคิดว่า การคิดโครงการต่าง ๆ เหล่านั้นอาจมาจากการที่พวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าความหมายและวิถีชีวิตที่ชุมชนจะนะยึดถือเป็นสรณะมาเนิ่นนานตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิถีทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในนิยามความหมายของพวกเราชาวจะนะที่ให้คุณค่ากับการเคารพต่อธรรมชาติและสรรพสิ่งที่เกื้อกูลให้จะนะมากกว่าการพัฒนาที่ทำลายรากเหง้า ดังนั้น จะนะ จึงมีรากของสังคมวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและดำเนินอยู่บนครรลองแห่งศีลธรรม และความเกื้อกูลเคารพต่อกันและกันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมานาน  พวกเราได้แต่หวังว่าเสียงของพวกเราจะสามารถส่งไปถึงพวกเขาเหล่านั้นด้วยทางใดทางหนึ่ง ด้วยความเชื่อมั่นว่าพวกเขาล้วนมีหัวใจและจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ที่รู้ร้อนรู้หนาวและมีความสามารถจะรับรู้ และร่วมทุกข์สุขไปกับพวกเราได้บ้าง

 



ผู้เขียน พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page