top of page

T2-2 | เวิร์กชอป “เติบโตร่วมกันฉันมิตร : การทำงานเยาวชนผ่านมิติจิตวิญญาณและการเยียวยา”

27 ก.พ. 68  15:30-17:30 น.  เดอะ มิตร-ติ้ง รูม (The Mitr-ting room)  ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ : มูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (Thai TGA)


การทำงานกับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ มักเน้นที่การปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน


เวิร์กชอปนี้จะช่วยให้คนทำงานกับเยาวชนเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานด้านจิตวิญญาณ การเพิ่มมิติของการเยียวยา และพัฒนาสุขภาวะด้านในควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยเสริมพลังให้เยาวชนกลับมามองเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีศักยภาพในการยืดหยุ่นปรับตัว (resilience) ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนที่ต้องเผชิญความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ

ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


ชวนผู้ทำงานด้านเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจ ได้มาทบทวนแลกเปลี่ยนการทำงานที่ผ่านมาในประเด็นสุขภาวะที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือการชวนให้คนทำงานมีความเข้าใจ เห็นความสำคัญ และเพิ่มเติมมิติจิตวิญญาณและการเยียวยาเข้าไปในการทำงานมากขึ้น

 

ด้วยการทำงานที่ผ่านมามักเน้นที่การปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การเอื้อให้คนทำงานกับเยาวชนมีความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการทำงานด้านจิตวิญญาณ จักเป็นหนทางนำไปสู่การเสริมพลังให้เยาวชนกลับมามองเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีศักยภาพในการยืดหยุ่นปรับตัว (Resilience) เมื่อต้องเผชิญความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทั้งการไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ขาดพื้นที่ปลอดภัยหรือชุมชนที่รับฟังอย่างไม่ตัดสิน การให้ความรู้เกี่ยวกับการเข้าถึงความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น ป้องกันโรคติดต่อ การเยียวยาจิตใจ หรือการช่วยเหลือแนะนำอาชีพ ฯลฯ รวมถึงการขาดการให้ความรู้ในการดูแลสุขภาวะทั้ง 5 ด้าน โดยเฉพาะทางด้านจิตวิญญาณและสังคม

 

เวิร์กชอปนี้ เปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ในบรรยากาศที่เป็นมิตร ผ่อนคลาย ไว้วางใจ ด้วยโจทย์คำถามชวนคุย 3 รอบ ได้แก่ รอบแรก แนะนำตัวเอง องค์กรที่สังกัด ลักษณะงานที่ทำ รอบสอง เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่สร้างความประทับใจ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในแง่มุมต่างๆ และรอบสาม ให้แบ่งปันกับเพื่อนถึงสิ่งที่ค้นพบ/ได้รับจากการทำงานกับเยาวชนชายขอบ เพื่อส่งเสริมศักยภาพและคุณภาพชีวิต โดยมีโจทย์ให้ 3 ข้อคือ

 

  1. แต่ละคนนำหลักการคุ้มครองเด็กและเยาวชนมาใช้อย่างไรกับเยาวชนกลุ่มที่ทำงานด้วย

  2. สถานการณ์และความทุกข์ทางใจ สิ่งที่เป็นบาดแผลภายในของเด็กและเยาวชนที่สำคัญคือเรื่องอะไร อย่างไร

  3. วิธีการหรือการเยียวยาความทุกข์ภายในใจ หรือฟื้นฟูพลังอำนาจภายในเด็กและเยาวชนที่ผ่านมา เราทำอย่างไร ได้ผลหรือไม่ มีสิ่งใดเป็นข้อท้าทายอีกบ้าง

 

แต่ละกลุ่มผลัดกันนำเสนอเป็นภาพประกอบ ข้อความ ผ่านสื่อที่ทำงานร่วมกัน จากนั้นในช่วงสุดท้าย กระบวนกรได้นำพาผู้เข้าร่วมทุกคนช่วยกันระดม แนวทาง วิธีการดูแล ช่วยเหลือ เยียวยาเยาวชนกลุ่มนี้ และนำมาแสดงให้เห็นบนพื้นที่ที่จัดไว้ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการทำงานร่วมกันต่อไป

 

สำหรับข้อสรุปหลักๆ และแนวทางแก้ปัญหาที่งานนี้นำเสนอ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนสังคมให้มีการยอมรับและเกื้อกูล เยาวชนหรือบุคคลชายขอบ (LGBTQ+) ให้มีสิทธิเสรีภาพ การเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกับเพศอื่นๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและเคารพในความแตกต่าง ได้แก่ 

 

  1. เคารพและยอมรับในความเป็นตัวเองอย่างที่เขาเป็น

  2. รักษาความลับของเยาวชน

  3. รับฟังอย่างไม่ตัดสิน เป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นผู้ฟังที่ดี

  4. มีความซื่อตรง จริงใจต่อเยาวชนที่ทำงานด้วย  

  5. ส่งเสริม/สนับสนุนให้มีสุขภาวะทั้ง 5 ด้าน รวมทั้งเน้นการสร้างความมั่นคงแข็งแรงด้านจิตวิญญาณให้มากขึ้น

 

การขับเคลื่อนงานและหาแนวทางร่วมกันจากกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องและทำงานในพื้นที่ รวมถึงประสบการณ์ของตนเอง มีการรับฟัง ระดมสมอง เปิดรับความคิดเห็น แลกเปลี่ยนกันในกลุ่มผู้ทำงาน เป็นการทำงานและร่วมมือกันฉันมิตร

 

“ให้ต้นไม้เปรียบเหมือนเด็กและเยาวชน ถ้าพวกเราเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของต้นไม้ เราจะทำอะไรได้บ้าง ให้ต้นไม้เติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง มีสุขภาวะที่ดี”

 

การชวนให้ผู้เข้าร่วมทบทวนและคิดพิจารณาถึงวิธีการและสิ่งที่จะทำให้เยาวชนมีอำนาจภายใน มีความมั่นใจ และมั่นคงมากขึ้น เป็นการยกระดับในการแก้ปัญหาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญา และเกิดคุณภาพภายในสมดุลมากขึ้น ทั้งการยอมรับความแตกต่าง เข้าใจตนเองมากขึ้น ลดการตัดสิน เปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพในความเป็นมนุษย์ และพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล



ผู้เขียน  ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68





สรุปความรู้และข้อค้นพบสำคัญ โดยเจ้าภาพห้องประชุมย่อย


ความสำคัญและการมีอยู่ของกิจกรรม 

 

หากเรามองว่า เยาวชน คือ ต้นกล้าไม้ที่กำลังเติบโตในผืนดินที่เข้าสู่ความเป็นต้นสมบูรณ์เต็มวัย พร้อมเป็นส่วนสำคัญของขยายความงดงามไปสู่โลก สร้างความรู้สึกปลอดภัย เป็นร่มเงาให้กับสรรพสิ่งได้เต็มใจเต็มศักยภาพที่ต้นไม้ต้นหนึ่งจะทำได้ ต้นกล้าไม้ก็จำเป็นต้องอยู่ในบริบทสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตได้อย่างไร

 

ขณะที่ส่วนหนึ่งของสังคม เรายังอยู่ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เยาวชนเป็นกลุ่มที่ถูกจัดลำดับว่ามีแหล่งอำนาจน้อย ด้วยเหตุแห่งอายุและประสบการณ์ชีวิตที่ถูกตัดสินว่ามีจำนวนปีที่น้อยคนกว่าผู้ใหญ่ ความคิดความเชื่อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะ ลดทอนคุณค่า ความเชื่อมั่นในการแสดงออกซึ่งตัวตนและศักยภาพภายในอันเป็นส่วนสำคัญของการเติบโต หลายครั้งเยาวชนตกอยู่ในบริบทที่ถูกให้ความหมายและตัดสินใจแทนในเรื่องที่ถูกมองว่าสำคัญ เยาวชนจึงขาดการมีส่วนร่วมในมิติต่างๆ แม้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวตนภายในและทางเลือกต่อการมีคุณภาพชีวิตของเขาเอง

 

ผลกระทบนี้เพิ่มความเข้มข้นขึ้นเมื่อถูกผนวกรวมกับการมีอัตลักษณ์ชายขอบทับซ้อน เช่น เยาวชนที่มีความพิการ มีความหลากหลายทางเพศ เป็นลูกแรงงานข้ามชาติ หรือชนชาติพันธุ์ และและบางคนอาจมีอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนมากกว่าสองอัตลักษณ์ในตนเองด้วย เขามักเผชิญกับอคติ การถูกตัดสิน เลือกปฏิบัติและการใช้ความรุนแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดบาดแผลในใจบาดลึก สะสมไปตามกาลและเวลา หากเข้าไม่ถึงการปกป้องคุ้มครองและการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจ

 

ต้นกล้าที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตได้อย่างเต็มที่สอดคล้องกับช่วงวัย ย่อมส่งผลต่อการผลิดอก ออกผล และความเปราะบางของลำต้น กิ่งก้าน ในการที่จะเติบโตเพื่อส่งต่อผลิตผลที่งอกงามสู่สังคม กระบวนการเรื่อง “เติบโตร่วมกันฉันมิตร: การทำงานเยาวชนผ่านมิติจิตวิญญาณและการเยียวยา” จึงเป็นการเชื้อเชิญคนทำงานเยาวชน และตัวของเยาวชนเองอันเป็นผู้ได้รับผลกระทบนี้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อเรียนรู้ และบทเรียน เพื่อจะช่วยกันออกแบบแนวทางการทำงานในอนาคตเพื่อเป็นส่วนสำคัญของการสนับสนุนการเติบโตของเยาวชนร่วมกัน ฉันกัลยาณมิตรว่า แนวทางการทำงานเพื่อปกป้อง คุ้มครองเยาวชนที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณภายในเพื่อการเยียวยานั้น จำเป็นต้องตระหนักและให้ความสำคัญในมิติใดเพื่อสร้างจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง

 


ออกแบบกระบวนการอย่างตระหนักรู้ถึงบทบาท

 

การออกแบบกระบวนการของห้องย่อย “เติบโตร่วมกันฉันมิตร: การทำงานเยาวชนผ่านมิติจิตวิญญาณและการเยียวยา มีเป้าหมายเพื่อให้กลุ่มคนทำงานด้านเยาวชน หรือเยาวชนเอง ที่สนใจมาร่วมกิจกรรมได้มาทำความรู้จักและร่วมกันทบทวนการทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ ตลอดจนหาโอกาสในการเพิ่มมิติการทำงานด้านสุขภาวะ การเสริมพลังความเข้มแข็งจากภายในเพื่อให้เยาวชนได้พัฒนาศักยภาพ มีการยืดหยุ่นปรับตัว (resilience) หรือ มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง อันจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการรับมือหรือการเผชิญกับความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

 

การออกแบบกระบวนการมีการปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง เนื่องจากห้องย่อยมีเวลาจำกัด กระบวนการแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ


  1. การทำความรู้จักและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างคนทำงานและเยาวชนที่สนใจร่วมกันกิจกรรม

  2. เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด ทบทวนบทเรียนการทำงานร่วมกัน

  3. ร่วมกันสะท้อนแนวทางที่สำคัญต่อการทำงานกับเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มอัตลักษณ์ชายขอบ เพื่อการมีสุขภาวะของเยาวชน

 

ความโดดเด่นของกิจกรรม คือ การนำกระบวนการโดยเยาวชนที่เป็นมีอัตลักษณ์คนข้ามเพศซึ่งเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ชายขอบ และความท้าทายในการนำกระบวนการโดยเยาวชนที่เป็นคนข้ามเพศ คือการวางตัวให้เป็นผู้เชื้อเชิญคนทำงานให้มาร่วมทบทวนการทำงานด้วยกัน ไม่ใช้การให้ความรู้

 

มูลนิธิฯ ตระหนักดีว่า เยาวชนในสังคมไทยเติบโตท่ามกลางการถูกมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนา การเป็นกระบวนกรของเยาวชนคนข้ามเพศ โดยผู้เข้าร่วมคือคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับเยาวชน ด้านหนึ่ง บทบาทของกระบวนกรครั้งนี้คือโอกาสของการฝึกฝนเพื่อการเติบโตในศักยภาพที่จะเป็นคนทำงานต่อไป ขณะเดียวกันก็มีความกดดันอยู่ภายในเนื่องจากเสี่ยงต่อการถูกมองได้ว่า คนนำกระบวนการต้องเป็นผู้มีองค์ความรู้ เพื่อคลี่คลายความรู้สึกดังกล่าวและเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันแต่ต้น ทำให้จำเป็นต้องสร้างความชัดเจนร่วมกันก่อนเริ่มกระบวนการว่า การทำหน้าที่ของกระบวนกรอยู่บนฐานที่ตระหนักดีว่า ทุกคนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ คือผู้มีประสบการณ์ทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ และกระบวนกรเป็นผู้มีบทบาทในการสร้างกระบวนการและเชื้อเชิญให้ร่วมแบ่งปัน ผ่านการมีคำถาม เพื่อถอดประสบการณ์และบทเรียนที่แต่ละคนมี หลายหน่วยงานมีฐานการทำงานด้านคุ้มครองสิทธิเป็นพื้นฐาน และกลุ่มเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบคือคนที่พบกับความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติในรูปแบบต่างๆ จึงจำเป็นต้องทบทวนถึงความครอบคลุมการทำงานด้านการเสริมพลังอำนาจภายในหรือ จิตวิญญาณและการเยียวยาด้วยว่าเป็นอย่างไร 

 

ภายใต้ประสบการณ์ที่หลากหลาย กระบวนการครั้งนี้เน้นให้ความสำคัญกับการเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับทุกคน ขอให้ทุกคนรับรู้ถึงการอยู่ด้วยกัน ที่เป็นปัจจุบันในห้องนี้ เพื่อการรับฟังประสบการณ์ของกันและกันด้วยหัวใจ เคารพความแตกต่างหลากหลาย ไม่ตัดสินหรือให้ความหมายของประสบการณ์ของผู้ใด เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างเต็มที่และเพื่อให้เห็นแนวทางการทำงานด้านเยาวชนในอนาคตจะครอบคลุมในมิติทางจิตวิญญาณและการเยียวยาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

การทำกิจกรรมในวันดังกล่าว มีผู้สนใจ 36 คน ประกอบด้วย นักกิจกรรมเยาวชนจากองค์กรต่างๆ กว่า 19 องค์กร บางส่วนนิยามตัวเองว่าเป็นนักกิจกรรมอิสระ หลายคนที่ทยอยเดินเข้ามาบางคนก็เป็นคนรู้จัก และเป็นคนทำงานด้านเยาวชนที่มีอัตลักษณ์เป็นคนข้ามเพศ  ทำให้เกิดคำถามในใจว่า การที่เรามีเพื่อนผู้มีความหลากหลายทางเพศมาร่วมแบ่งปันด้วยเป็นเพราะเขารู้สึกปลอดภัย จากการมีผู้นำกระบวนการเป็นผู้มีอัตลักษณ์คนข้ามเพศ อันเป็นอัตลักษณ์ร่วมด้วยหรือไม่ เพราะในการพูดคุยห้องย่อยงานเยาวชนหลายๆ วง มักไม่พบเยาวชนอัตลักษณ์คนข้ามเพศมีส่วนร่วมในนามอัตลักษณ์ตนเองนัก หากไม่ใช่วงคุยในประเด็นเฉพาะของตน หรือยังมีอะไรที่ทำให้เยาวชนอัตลักษณ์คนข้ามเพศเข้าไม่ถึงการมีส่วนร่วม แม้ในประเด็นการทำงานกับเยาวชนเองก็ตาม

 

กระบวนการและสาระที่ได้เรียนรู้ ประกอบด้วย

 

“จักรวาลจัดสรร” การแนะนำตัว แนะนำงาน และแบ่งปันข้อเรียนรู้จากประสบการณ์

 

กระบวนกรนำผู้เข้าร่วมให้ลุกขึ้นยืนและรับรู้ลมหายใจเข้า-ออก ประมาณ 4-5 รอบลมหายใจ ก่อนที่จะเริ่มต้นเชื้อเชิญให้ทุกคนเดินไปรอบบริเวณห้องอย่างรู้ตัว ก่อนที่จะหยุดเพื่อจับคู่ทำความรู้จักกัน และเข้าใจการทำงานของกันและกันในประเด็นเยาวชนที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ เป็นกิจกรรมที่เราเรียกว่า “จักรวาลจัดสรร” จากการที่แต่ละคนได้เดินและหยุดเราจะพบเพื่อนตรงหน้าที่ใกล้ที่สุดที่จะได้จับคู่เพื่อทำความรู้จักกัน ทำความเข้าใจการทำงานของกันและกัน ผ่านการสลับกันเล่าและฟังกันด้วยหัวใจ พูดคุยด้วยคำถามไปที่ละข้อ ๆ เมื่อจบข้อแรก ก็ใช้กระบวนการเดิมเพื่อเจอเพื่อนคนต่อไปเพื่อแบ่งปันเรื่องราวด้วยคำถามข้อที่ 2 และทำซ้ำในข้อที่ 3 อีกครั้ง คำถามเพื่อทำความรู้จักกันในกิจกรรมนี้ประกอบด้วย

 

  1. ทักทายกันและแนะนำชื่อ องค์กร ลักษณะงานที่ทำเกี่ยวกับงานด้านเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ

  2. แบ่งปันเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่ทำงานกับเยาวชนที่สร้างความประทับใจให้เราว่าเป็นอย่างไร ประสบการณ์นี้สร้างบทเรียนหรือข้อเรียนรู้อะไรให้บ้าง   

  3. ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา มีข้อค้นพบอะไรที่ได้จากการทำงาน ที่ทำให้เยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบมีศักยภาพและคุณภาพชีวิต

 

ภายหลังการจับคู่เพื่อแบ่งปันเรื่องราวครบ 3 ข้อแล้วกระบวนกรเชื้อเชิญผู้เข้าร่วมแบ่งปันข้อเรียนรู้ หรือข้อที่ค้นพบจากการแลกเปลี่ยนที่ได้จากการได้พูดคุยกับเพื่อน

 

การแบ่งปันของผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งมีเพศกำเนิดชาย นิยามตัวเองว่า นอนไบนารี่ (Nonbinary) และ ไบเซ็กส์ชัวล์ (Bisexual) เขาทำงานอยู่ในองค์กรเครือข่ายพุทธสาสนิกชนสัมพันธ์เพื่อสังคมนานาชาติ (INEB) ในส่วนงานที่เป็น Program ภาษาอังกฤษ กับเยาวชนในกลุ่มรากหญ้า เยาวชนในพม่า  งานส่วนที่สองคือ เป็นคณะทำงานในกลุ่มเบิกบานเฟสซึ่งทำงานกับเยาวชนความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQN+) ที่รวมตัวกันทำงานเพื่อเสริมศักยภาพการทำงานและการเยียวยาเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความเป็นธรรม

 

การแบ่งปันสิ่งที่ค้นพบซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและยังเป็นความท้าทาย คือ การนำประเด็นมิติเพศและสถานการณ์ของเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าไปทำงานกับเยาวชนทั่วไป พบว่า ยังมีแรงต่อต้านค่อนข้างสูงมาก เขาให้ข้อสังเกตว่า ภายในห้องย่อยนี้ ภายใต้กิจกรรมหัวข้อ เติบโตร่วมกันฉันมิตร: การทำงานเยาวชนผ่านมิติจิตวิญญาณและการเยียวยา มีกลุ่ม LGBTIQN+ เข้าร่วมหลายคน เขาสะท้อนว่า เยาวชนLGBTIQN+ นั้นมีความต้องการการยอมรับอยู่มาก และเป็นกลุ่มที่เผชิญปัญหาด้านความสัมพันธ์เชิงลึกในทุกระดับจากการถูกปฏิเสธตัวตน ตั้งแต่การไม่ถูกยอมรับจากคนครอบครัว ทำให้เขาหรือเธอเหล่านั้นไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง  ภาวะดังกล่าวทำให้การไปทำงานร่วมกับประเด็นเยาวชนในมิติอื่นๆ ค่อนข้างลำบาก และขาดการมีส่วนร่วม เราก็จะเห็นนักกิจกรรมเยาวชนที่เป็น LGBTIQN+ มักทำงานและรวมกันอยู่ในกลุ่มชุมชน (Communities) ตนเองเป็นส่วนใหญ่

 

ข้อเรียนรู้ข้อที่สองคือ พบว่า จุดที่เป็นจุดร่วมสำหรับงานด้านเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ทำให้เยาวชนทุกอัตลักษณ์มีอยู่จริงและเข้าถึงได้ โดยเฉพาะเมื่อมีอัตลักษณ์ชายขอบทับซ้อนด้วย ส่วนใหญ่จะยิ่งรู้สึกว่า ตนไม่มีอำนาจ ฉะนั้น คนทำงานต้องสร้างพื้นที่เพื่อโอบอุ้ม แสดงถึงการยอมรับในตัวตนของเขาเหล่านั้น และต้องการทำงานด้านเยียวยา ในที่นี้หมายถึงการทำให้เยาวชนเหล่านี้ ตระหนักได้ว่า โดยแท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่มีศักยภาพเพียงพอที่ตัดสินใจ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกผลักให้มีความเป็นชายขอบมากๆ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพและคุณค่าภายในที่เขามีอยู่จริง ตัวอย่างกิจกรรมพื้นฐานที่ทำได้เลยในชีวิตประจำวัน เช่น การให้เขาเป็นผู้กำหนดกติกา หรือวิธีการเล่น คนทำงานต้องเห็นว่านี่คือวิธีการหนึ่งของการเยียวยาโดยการคืนอำนาจการตัดสินใจให้เขาทดลองทำ ทดลองกำหนดเงื่อนไขต่างๆ และเรียนรู้ไปกับมัน หรือตัวอย่างรูปธรรมที่เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ชายขอบตามบริบทของเยาวชนแต่ละกลุ่ม เช่น เยาวชนคนจนเมืองเขาจะมีโอกาสได้อยู่กับป่าหรือธรรมชาติน้อย เราสามารถสร้างพื้นที่แห่งการเติบโตผ่านการพาเขาไปเรียนรู้การอยู่กับธรรมชาติได้  หรือหากเป็นเยาวชนที่เป็นคนจนในชนบท ส่วนใหญ่มักไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่ไปทำงานต่างถิ่น ไม่ได้อยู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูลูก ชีวิตในชนบทจะมีโอกาสเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากกว่าแต่ขาดการเชื่อมโยงกับผู้คนที่หลากหลาย และมีความต้องการความใกล้ชิด เราจะสร้างการเรียนรู้และเติมเต็มเหล่านี้กับเขาอย่างไร เพื่อเป็นการเยียวยาและสร้างการเติบโตภายในไปด้วยกันได้

 

ฉะนั้น การสร้างพื้นที่ปลอดภัยยังคงเป็นข้อท้าทายสำหรับการทำงาน ที่จะทำอย่างไรให้เยาวชนเหล่านี้ รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของอะไรก็ตาม.. และในการเป็นส่วนหนึ่งนั้น เขาก็สามารถเป็นตัวของตัวเองด้วย เพื่อจะทำให้พลังงานชีวิตของเขาถูกเปิดออกมา ให้เขาเปิดตัวได้ว่า เขาเป็นแบบไหน เป็นอย่างไร การได้เป็นตัวของตัวเองไม่ควรถูกตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่ควรเป็นพื้นที่แห่งการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรก็ตามที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย เพราะการได้เป็นตัวของตัวเองคือ การสร้างพลังงานที่เป็นพลังชีวิตซึ่งเยาวชนเป็นช่วงของพลังชีวิตที่สูงมาก การทำให้เขารู้สึกปลอดภัย เป็นสิ่งที่ค้นพบจากการทำงานกับเยาวชนชายขอบ ไม่ว่าจะกลุ่มอัตลักษณ์ทางเพศหรืออัตลักษณ์อื่นใดก็ตาม

 

กระบวนกรสรุปย้ำเพิ่มเติมว่า จากการแบ่งปันนี้ทำให้เห็นว่า การทำงานกับเยาวชนชายขอบสำคัญมากคือการทำให้เขาเชื่อมั่นว่า เขามีศักยภาพหรือคุณค่าอยู่ภายในตัวเอง และคนทำงานมีหน้าที่ ยอมรับและสร้างพื้นที่เพื่อให้พลังเหล่านั้นถูกอนุญาตให้นำออกมาใช้ มันเป็นพลังในการขับเคลื่อนชีวิต

 


ข้อเรียนรู้และบทเรียนจากการทำงาน

 

กิจกรรมช่วงที่สอง เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อเรียนรู้จากการทำงานด้านเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบเพื่อทบทวนว่า ที่ผ่านมามีการทำงานด้านการเยียวและเกิดข้อเรียนรู้หรือบทเรียนจากการทำงานอย่างไร กระบวนกรใช้การแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 หรือ 7 คน เพื่อทำงานร่วมกัน ผ่านคำถาม 3 ข้อ ได้แก่

 

  1. ใช้นำหลักการคุ้มครองเด็กและเยาวชนอะไรบ้างในการทำงานกับเยาวชนที่ทำงานด้วย

  2. มองเห็นสถานการณ์และความทุกข์หรือสิ่งที่เป็นบาดแผลในใจของเยาวชนอย่างไร

  3. ใช้วิธีการเยียวยาความทุกข์ในใจ หรือฟื้นฟูพลังอำนาจภายในอย่างไรที่ได้ผลและข้อท้าทาย

 

ผลจากการแบ่งปันกันในกลุ่มย่อยเมื่อได้นำเสนอให้เห็นภาพร่วมกัน ทำให้เกิดข้อเรียนรู้ที่สำคัญจากการแบ่งปันของทุกกลุ่มดังนี้

 


คนทำงาน: เรื่องการนำหลักการคุ้มครองสิทธิเยาวชนมาใช้

 

เชื่อในหลักการปกป้องและคุ้มครองสิทธิของเยาวชน

 

ข้อแรก ต้องเชื่อในหลักการให้ “เด็ก-เยาวชนเป็นศูนย์กลาง”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับเยาวชนที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ คนทำงานต้องประเมินความสนใจและออกแบบกระบวนการหรือกิจกรรมที่ยืดหยุ่น สอดคล้องต่อบริบทเฉพาะของแต่ละกลุ่มอัตลักษณ์ ไม่เป็นการทำงานที่ใช้รูปแบบที่ตนคุ้นเคยกับทุกกลุ่มที่มีบริบทชีวิตและความต้องการที่แตกต่างกัน

 

ข้อที่สอง ต้องเชื่อในหลักของการทำงานที่จะไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบต่อเยาวชน ซึ่งเป็นความท้าทาทายต่อคนทำงานที่จะต้องละเอียดอ่อนกับการไม่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ และการใช้อำนาจเหนือกว่า ที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงทางต่อร่างกาย การสื่อสารหรือมีวิธีคิดที่อคติต่อเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ   

 

ข้อที่สาม ต้องเชื่อการปกป้องข้อมูลส่วนตัว การรักษาความลับ ซึ่งเชื่อมโยงกับการตระหนักรู้ของคนทำงานกับเยาวชนที่ต้องมีความละเอียดอ่อนต่อความเป็นชายขอบในอัตลักษณ์แต่ละกลุ่ม เช่น อัตลักษณ์ทางเพศ ทางชาติพันธุ์ ฯลฯ หลักการขอความยินยอม (Consent)  เช่น การขออนุญาตถ่ายรูป

 

ข้อที่สี่ ต้องเคารพ ให้เกียรติต่อการมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายของเยาวชน  ตัวอย่างเช่น การไม่แตะเนื้อต้องตัวและต้องขออนุญาตหากจะมีการถูกเนื้อตัวหรือแม้แต่การสัมผัสและกอด  การไม่อยู่กันสองต่อสอง การไม่พูดจาไปในทางล่อแหลม แซวหรือมีท่าทีแบบทีเล่นทีจริง หรือ “หมาหยอกไก่” มีท่าทีในเชิงชู้สาว

 

ข้อที่ห้า ต้องเชื่อในการสนับสนุนทรัพยากร เพื่อเพิ่มโอกาสของเรียนรู้ ทดลองทำและเพื่อพัฒนาการเติบโตของเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อศักยภาพภายในตนเองของเยาวชนที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ

 

ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ทางสุขภาพ และการเข้าถึงบริการ

 

ผลการแลกเปลี่ยน พบว่า ที่ผ่านมาคนทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ มีการทำงานไปในด้านส่งเสริมให้เยาวชนเข้าถึงและได้รับข้อมูล ความรู้ทางสุขภาพ และเชื่อมโยงให้เขาเข้าถึงบริการในทางสุขภาพเป็นสำคัญ เช่น ทำงานให้ความรู้เรื่องเอชไอวี และการดูแลด้านอนามัยเจริญพันธุ์ และงานให้คำปรึกษาที่เน้นมีพื้นที่ปลอดภัยในการปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตทางเพศและเพศวิถี ในข้อนี้จะเห็นแนวโน้มทำงานเพื่อปกป้องและคุ้มครอง ยังเป็นการทำงานในเชิงป้องกันผ่านมิติทางสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งถือว่ายังเป็นข้อท้าทายต่อคนทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ กับการจะขยับมุมมองและแนวทางการทำงานไปสู่มิติสุขภาวะด้านอื่นๆ ที่เยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบกำลังเผชิญ และรวมทั้งเป็นความท้าทายต่อการเข้าถึงทรัพยากรสนับสนุนการทำงนในมิติที่กว้างมากขึ้นด้วย

 

ใช้แนวทางการทำงานที่เสริมพลัง

 

คนทำงานสะท้อนถึงความสำคัญของการการให้อิสระในการคิด ออกแบบ และตัดสินใจ ว่าเป็นส่วนสำคัญของสร้างความเชื่อมั่นในความเป็นตัวเองของเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ คนทำงานต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเยาวชน รูปธรรมขั้นพื้นฐานคือการสนับสนุนให้เขาเป็นผู้เลือก เป็นการทำให้คืนอำนาจที่เขามีอยู่ให้เขาเชื่อมั่นในศักยภาพภายใน บทบาทของคนทำงานคือการเปิดใจรับฟัง และยอมรับในตัวตน อัตลักษณ์ และยอมรับในเพศวิถีที่มีความหลากหลาย เสี่ยงต่อการถูกตัดสิน มีความท้าทายต่อวิธีคิดของคนทำงานเนื่องจากอาจไม่สอดคล้องไปตามบรรทัดฐานสังคม

 

การแบ่งปันของคนทำงาน ทำให้เชื่อมั่นว่า คนทำงานกับเยาวชนตระหนักในหลักการทำงานปกป้องคุ้มครองสิทธิ อย่างไรก็ตาม ด้านการงานกลับมีแนวโน้มไปในมิติทางสุขภาพ พฤติกรรมเพื่อการป้องกันโรคเป็นหลัก เป็นความท้าทายต่อการทำงานเพื่อการมีสุขภาวะของเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบหรือไม่

 


คนทำงาน: ประสบการณ์ที่พบกับสถานการณ์ความทุกข์และบาดแผลภายในใจ

 

ภายในห้องย่อยประกอบด้วยคนทำงานกับเด็กและเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบประเด็นต่างๆ เช่น เด็กและเยาวชนที่เป็นคนข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ แรงงานข้ามชาติ เยาวชนพม่าทั้งในไทยและนอกพื้นที่ ผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ มีความพิการ เป็นต้น ผลจากการแบ่งปันทำให้เห็นถึง การถูกผลักให้เป็นชายขอบจากการมีอัตลักษณ์ทับซ้อน ซึ่งส่งผลให้เกิดความทุกข์ เป็นบาดแผลจากใจ เช่น การไม่ถูกยอมรับจากชุมชนและสังคม ถูกผลักไส กลั่นแกล้ง เลือกปฏิบัติ ถูกทำร้ายทั้งทางกาย จิตใจและทางเพศ ถูกปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดและความเป็นสภาพ ขาดเสรีภาพในการเดินทาง  บางอัตลักษณ์ถูกปฏิเสธตั้งแต่ในครอบครัว เช่น กลุ่มอัตลักษณ์ LGBTQA+ กระบวนการผลักไสเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง และไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

 

นอกจากนี้ยังมีที่เป็นสถานการณ์ร่วมที่ต้องเผชิญเช่นเดียวกับคนทั่วไปด้วย เช่น ในสถานการณ์ภัยพิบัติ ถูกผลกระทบจากโครงการรัฐ การเผชิญปัญหามลภาวะ สิ่งแวดล้อม บริบททางการเมือง ภาวะภัยสงคราม ภาวะโรคระบาด การเผชิญกับภาวะยากลำบากจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและภาวะกดดันในสังคมบริโภคนิยม แต่ความเป็นเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบนั้นเพิ่มความรุนแรงแห่งทุกข์และบาดแผลในใจมากขึ้น เพราะจักกลายเป็นกลุ่มที่ถูกมองข้ามหรือถูกจัดเป็นลำดับไว้ท้ายๆ ที่จะได้รับการคุ้มครอง และเข้าถึงทรัพยากรในการเยียวยา

 

ความรุนแรงที่ได้รับในทุกมิติกลายเป็นบาดแผล ความทุกข์ภายในใจของเยาวชนที่กำลังเติบโต ภายใต้ความเป็นเยาวชนก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีพื้นที่ต่อรองได้น้อยอยู่แล้วเมื่อผนวกกับอัตลักษณ์ชายขอบ สิ่งที่เขาต้องเผชิญจึงก่อเกิดเป็นความสับสน ไม่เข้าใจตัวเอง เกิดความรู้สึกขัดแย้งภายใน เป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อัตลักษณ์และตัวตน ตกอยู่ในภาวะวิตกกังวล ไม่ไว้วางใจ มีความหวาดระแวง และเปี่ยมไปด้วยกลัวและการปกป้องตนเองในรูปแบบต่างๆ ทั้งจากกลัวเพื่อนไม่คบ กลัวครูไม่ยอมรับ กลัวการถูกตัดสินและปฏิเสธ ซึ่งเป็นภาวะสร้างความรู้สึกไม่มั่นคงจากภายใน และต้องการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย ฉะนั้น การทำงานกับกลุ่มนี้มีความท้าทายต่อการเข้าถึงภายในใจของเขาอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่เขาเผชิญและสั่งสมอยู่ภายในนั้น นำไปสู่ปัญหาการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมภายนอก ทั้งกับในครอบครัว เพื่อน กับผู้ใหญ่และผู้คนในสังคม ในกลไกเชิงโครงสร้างที่ยังมีการทำงานเป็นรูปแบบที่เหมารวม ย่อมไม่ตอบโจทย์และเข้าถึงหัวใจของเยาวชนกลุ่มนี้ได้ยาก แน่นอนที่สุดว่า ส่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลต่อผู้คนภายนอกที่จะเพิ่มโอกาสเข้าใจเยาวชนเหล่านี้ไปในทางลบหรืออคติ แต่ในระดับภายในของเขาเองก็ส่งผลต่อการมองคุณค่าตนเอง และเพิ่มความเสี่ยงการเสียสุขภาวะ เสี่ยงต่อการเข้าหาและใช้สารเสพติต มิติทางเพศ และมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมีการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

 

หากเปรียบเยาวชนเป็นต้นไม้ กลุ่มที่มีอัตลักษณ์ชายขอบ คือหนึ่งในพรรณพืชที่เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลาย แต่ด้วยอัตลักษณ์ที่ถูกผลักไป “เป็นอื่น” ทำให้เขาเองรู้สึกถึงความเสี่ยงต่อการถูกละเลย ถอน ทำลาย เป็นกล้าไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยงขาดพลังชีวิตในการเติบโต ขาดการเข้าถึงน้ำ อากาศ อาหารเพื่อเป็นไม้ที่ผลิดอก แบ่งบาน  ในความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีตัวตน เป็นการเติบโตด้วยจิตวิญญาณที่กระพร่องกระแพร่ง ไม่ถูกเติมเต็ม เปี่ยมด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย ขาดความมั่นคงจากภายในตัวเอง เราแทบนึกไม่ออกว่า คุณค่าของชีวิต ความหมายและความฝันในการเติบโตเขาจะเป็นอย่างไร

 


คนทำงาน: วิธีการเยียวยาความทุกข์และบาดแผลในใจ

 

จากการแบ่งปันของทุกกลุ่ม ทำให้เราเห็นรูปแบบและวิธีการทำงานที่มองว่าเป็นการการเยียวยาความทุกข์หรือฟื้นพลังภายในใจของเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ สามารถสรุปได้ 4 ด้าน โดยมองเห็นความเชื่อมโยงกันใน 4 ด้าน ดังนี้


  1. หลักที่คนทำงานยึดถือในการทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ

  2. รูปแบบ วิธีการหรือกิจกรรมที่สามารถนำใช้ให้สอดคล้องกับหลักการ

  3. ข้อมูล และองค์ความรู้ที่คนทำงานใช้ในการเติมเสริมเพื่อการตัดสินใจและเข้าถึงบริการ

  4. ข้อท้าทายในการทำงานเพื่อสร้างการพื้นที่เยียวยาในระบบทางสังคม

 

ข้อสังเกตเพิ่มเติมจากเพื่อนคนหนึ่ง กล่าวถึงการทำงานเยียวยาว่า “ต้องพาเด็กและเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบให้เห็นถึงรากฐานของปัญหาที่แท้จริง” เป็นส่วนสำคัญต่อการรื้อถอนความคิด อคติที่มีต่อตัวเอง และเข้าใจอคติที่คนทั่วไปยังขาดความเข้าใจ ในอีกมิติหนึ่ง การเยียวยาและฟื้นฟูพลังอำนาจที่ยั่งยืน จึงเป็นมากกว่าการเสริมพลังและทำงานระดับบุคคลที่ได้รับบาดแผลจากสังคม แต่ยังเป็นข้อท้าทายอยู่มาก กับการทำงานที่ต้องมีกระบวนการชี้ให้เห็นที่มาของความคิดผลักไสคนออกไปเป็นอื่น และมีความเกี่ยวข้องในผู้คนในทุกระดับในการรื้อและสร้างการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งกระบวนการสร้างระบบการเยียวยาในเชิงโครงสร้าง

 


ถอดข้อเรียนรู้เพื่อก้าวต่อไป: สิ่งที่ควรสนับสนุนเยาวชนให้เติบโตอย่างมีสุขภาวะ

 

ช่วงท้ายของกิจกรรมคือ การเชื้อเชิญต่อคนทำงานให้ใคร่ครวญถึงผลลัพธ์การทำงานผ่านมุมมองในมิติการมีสุขภาวะ 5 มิติว่า ควรต้องเพิ่มการทำงานอะไรบ้างที่ยังเป็นช่องว่าง กระบวนกรได้เสนอเป้าหมายของการมีสุขภาวะของเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบที่ควรทบทวนใน 5 มิติ เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการใคร่ครวญ

 

ตัวอย่างของสุขภาวะใน 5 ด้าน

 

สุขภาวะทางกาย

 

การสนับสนุน/ส่งเสริมและเยาวชนให้รู้เท่าทันต่อความสำคัญของสุขภาพทางกายที่แข็งแรง ส่งเสริมโอกาสและการกินดี อยู่ดี การได้รับอาหารและน้ำที่มีคุณภาพ อากาศที่สะอาด ลดความเสี่ยงจากความรุนแรงในครอบครัว การถูกทำร้าย/ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกละเมิดทางเพศ เอาเปรียบแรงงานฯลฯ จนทำให้เสียสุขภาพกาย ภาวะความเจ็บป่วยต่างๆ

 

สุขภาวะทางใจ

 

การสนับสนุนส่งเสริมเยาวชน ให้มีสุขภาพจิตที่เบิกบาน รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง กล้าบอกความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง และรับมือกับภาวะบีบคั้นที่เข้ามากระทบจิตใจ การไม่ถูกยอมรับในตัวตนที่เป็น LGBT+ การเป็นเยาวชนชายขอบ ที่ส่งกระทบกับจิตใจ

 

สุขภาวะด้านความสัมพันธ์

 

การสนับสนุนส่งเสริมเยาวชนให้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการมีพื้นที่ปลอดภัย การสร้างความรู้สึกเคียงข้าง ความรู้สึกว่า ได้รับการโอบรับ ความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ และความรับผิดชอบต่อกันและกันในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ครอบครัว เพื่อน สังคมและสิ่งแวดล้อม

 

สุขภาวะทางปัญญา

 

การสนับสนุนส่งเสริมเยาวชนในการทำความเข้าใจบริบทของสังคม เข้าถึงข้อมูล ความรู้ เช่น ด้านเอชไอวี อนามัยเจริญพันธุ์ เรื่องฮอร์โมน มีหลักคิดที่เป็นเหตุเป็นผล มีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ อย่างเข้าใจบริบทที่แตกต่าง

 

สุขภาวะทางจิตวิญญาณ

 

การสนับสนุนส่งเสริมเยาวชนให้เข้าใจ ตระหนักในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งของตนเองและผู้อื่น การสนับสนุนให้เยาวชนเชื่อมั่น ศรัทธาต่อสิ่งที่เป็นความฝัน มีแรงบันดาลใจ มีความเพียร มีความคิดที่สร้างสรรค์ เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ และวิธีคิดเชิงบวกในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

 

กระบวนกรนี้ใช้โครงของต้นไม้เป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อย้อนไปสู่จุดที่เริ่มต้นเปรียบเยาวชนเป็นต้นไม้ที่กำลังเติบโต ในกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อนย่อมมีความท้าทายและเราเห็นสิ่งใดที่ควรต้องทำต่อไปจากที่เคยทำอยู่แล้วและมันสำคัญ กับยังมีสิ่งที่ใดบ้างที่จำเป็นต้องเพิ่ม เพื่อสร้างและเอื้อต่อการมีสุขภาวะเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ กระบวนการให้มีเวลาใคร่ครวญเพื่อดิ่งลึกลงไปในประสบการณ์ เมื่อค้นพบบางอย่าง ขอให้แต่ละคน เขียนและนำข้อความติดที่ต้นไม้ เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสได้สำรวจข้อความที่แต่ละคนได้สื่อสารไว้ สรุปผลเป็นแนวทางการดูแลเยียวยาและฟื้นฟูจิตวิญญาณเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบจากการข้อมูล ดังนี้

 


สรุปแนวทางการดูแลเยียวยาและฟื้นฟูจิตวิญญาณเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ

 

สิ่งที่ยังต้องทำต่อไปให้มากขึ้น

 

  • การมีและเป็นพื้นที่ปลอดภัย การยอมรับและชื่นชมในความต่างของอัตลักษณ์ และการเคียงข้างเมื่อเผชิญความท้าทาย

  • การส่งเสริมสุขภาวะทางกาย

    • ส่งเสริม สนับสนุน สร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อวิธีคิดด้านการกินอาหารที่มีประโยชน์

    • ส่งเสริมการเล่นที่เหมาะสมกับวัย เพิ่มการสร้างความรู้สึกพอใจในตัวตน การรักร่างกายตัวเอง อันจะนำมาซึ่งการรัก ใส่ใจและเคารพร่างกายผู้อื่น

    • ส่งเสริมการให้องค์ความรู้ที่เป็นกระบวนการเพื่อความเข้าใจ รักและดูแลตัวเอง เช่น ความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจที่เป็นไปตามวัย หลักสูตรการศึกษาที่เข้าใจในมิติเรื่องเพศ ข้อมูลทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

  • ส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจ เช่น เครื่องมือเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต เชื่อมการเข้าถึงบริการให้มีคุณภาพ

  • ส่งเสริมการมีสุขภาวะด้านความสัมพันธ์ เช่น สร้างความเข้าใจระหว่างเยาวชนกับคนในครอบครัวยังเป็นเรื่องสำคัญ

  • ส่งเสริมการมีสุขภาวะทางปัญญา เช่น สนับสนุนให้มีทักษะอาชีพ ความสามารถในการพึ่งตนเอง มีพื้นที่และงบประมาณให้ทดลองทำกิจกรรมที่สนใจ

  • ส่งเสริมการมีสุขภาวะทางจิตวิญญาณ เช่น จัดกระบวนการเน้นการเสริมพลัง และการเยียวยา การเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เพิ่มโอกาสและพื้นที่ทางจิตวิญญาณที่เข้าถึงได้ เพิ่มมิติศาสนาเป็นทางเลือกในการยึดเหนี่ยวจิตใจ

 

สิ่งที่ยังทำน้อยและควรเพิ่มในการทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบ

 

  • ส่งเสริมการมีสุขภาวะในความสัมพันธ์กับผู้คนและสังคมในมิติดังนี้

    • พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในตัวตนข้ามบริบท-ข้ามอัตลักษณ์

    • พื้นที่ปลอดภัยที่สื่อสารในสังคมออนไลน์ ที่สร้างความรู้สึกปลอดภัย เป็นมิตร

    • ส่งเสริมให้โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้บริบท วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ที่หลากหลาย

    • ส่งเสริมการสร้างชุมชน (Community) เพื่อเป็นมิตรและช่วยเหลือกันและกัน

  • สร้างสื่อที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือเข้าถึงและสร้างความตระหนักรู้ในการเคารพสิทธิเด็กและเยาวชนและการมีอัตลักษณ์ชายขอบ สื่อเพื่อลดอคติ การเหยียดเพศ เหยียดอาชีพบริการ 

  • สร้างการมีส่วนร่วม การแก้ไขกลไกเชิงโครงสร้าง ส่วนหนึ่งเป็นการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย พัฒนาระบบและกลไกที่เป็นธรรมเพื่อการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม สร้างสังคมที่เป็นมิตร

 

แนวทางการดูแลเยียวยาและฟื้นฟูจิตวิญญาณของเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบนี้ มองว่าเป็นพื้นฐานของคนทำงานที่ควรมอบแก่เยาวชนทุกคนที่ควรได้รับ หากเพียงในความเป็นอัตลักษณ์ชายขอบ จำเป็นต้องสนใจกับบริบทเชิงวิธีคิดที่ขาดความเข้าใจและนำไปสู่การผลักไสที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน เพื่อการเติบโตที่มั่นคงจากภายใน ช่วงสุดท้ายจึงขอเสนอสิ่งที่เพื่อนผู้ร่วมกิจกรรมได้สะท้อนฝากไว้หลังการได้อ่านข้อความของเพื่อนๆ ในห้องด้วยกันแล้ว ดังนี้

 


แบ่งปันช่วงท้ายเพื่อการเติมเต็ม

 

  • ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีคนในครอบครัว เครือญาติ และเราก็มีหลานและเด็กๆ ที่เป็นครอบครัวบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นครอบครัวคนข้างบ้าน เป็นเพื่อนบ้าน สิ่งที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันเลยคือ การเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อรับฟังเสียงเยาวชนใกล้ตัว เราสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองในฐานะที่ทำงานและมีต้นทุนความเข้าใจต่อความละเอียดอ่อนในมิติเหล่านี้


  • เห็นโอกาสของการใช้เครื่องมือช่วยในการทำงานมากขึ้น เช่น ใช้สื่อเป็นเครื่องมือสร้างแนวคิดกับคนในสังคมเพื่อปรับวิธีคิดและการทำงานกับเยาวชนไปพร้อมๆ กัน เยาวชนในปัจจุบันมีการเรียนรู้รวดเร็ว เช่น เมื่อพูดเรื่องความรักที่มีมากกว่ารักต่างเพศ เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว


  • กลุ่มเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ และเชื่อว่าหลากหลายกลุ่มก็ต้องการเช่นกันคือ การมีเพื่อนที่เข้าใจสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาวะในทุกด้าน เพียงให้เขาได้มีพื้นที่ เจอเพื่อน ได้ทำกิจกรรมที่ชอบก็เป็นการสนับสนุนการมีสุขภาวะทางความสัมพันธ์ ทางใจ และทางปัญญา เสริมความมั่นคงภายในซึ่งเป็นสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ข้อสำคัญคือการสนับสนุนให้เยาวชนมาเล่นด้วยกัน มาเจอเพื่อนใหม่ที่มีอัตลักษณ์เดียวกันและอื่นๆ ความสำคัญของพื้นที่ปลอดภัยคือเน้นการฟังเสียงของเยาวชนว่า เขาอยากได้อะไรและสนับสนุนให้มีพื้นที่ให้เขาได้ทดลองทำงาน ให้มีเพื่อนร่วมทำงานด้วยกัน


  • ยังต้องให้ความสำคัญกับการเล่น เพื่อให้เขารับรู้ว่า เขามีอำนาจ กำหนดกติการ่วมกันได้ ให้เกิดการเติบโตอย่างได้รับความเคารพ ข้อท้าทายคนทำงานกับเยาวชนทุกกลุ่มคือ ต้องเชื่อด้วยใจจริงว่า เขามีปัญญาและฉลาด แต่เยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบมีทรัพยากรและเข้าถึงได้ไม่เท่ากัน ข้อท้าทายที่สองของคนทำงานคือ ความซื่อตรงกับเขา ซื่อตรงกับปัญหาของเขา และซื่อตรงกับตัวเองเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ที่จะซื่อตรงกับตัวเองด้วยเช่นกัน

 


ก่อนจบกระบวนการ กระบวนกร พูดถึงความประทับใจจากการรับฟังเสียงประสบการณ์ของคนทำงานและเห็นแก่นแกนที่สำคัญคือ ว่า เยาวชนทุกคนต้องการ การยอมรับ ต้องการได้รับความเคารพในตัวตน ท่ามกลางความหลากหลาย และเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนในอัตลักษณ์ใด ยิ่งมีความเป็นชายขอบยิ่งต้องให้ความสำคัญในมิติเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง  คนทำงานจึงมีหน้าที่สะท้อน เติมเต็มความต้องการ เพิ่มการมีส่วนร่วมให้เขารับรู้ได้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศ อันเป็นความต้องการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ในทุกผู้คนนั้นเอง

 

ภายใต้สังคมที่ยังเต็มไปด้วยอคติ และเลือกปฏิบัติ การทำงานกับเยาวชนอัตลักษณ์ชายขอบจึงต้องมีมิติทำงานเรื่องเยียวยา มีการเสริมพลังให้จิตวิญญาณภายในได้เติบโต ได้กลับมาเชื่อมั่นในคุณค่าชีวิต มีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการทำงานด้านปกป้องคุ้มครองสิทธิและโอกาสการเข้าถึงทรัพยากร เพื่อสร้างศักยภาพในการรับมือ ความสามารถในการยืดหยุ่นปรับตัว (resilience) เมื่อยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ การเติบโตของเยาวชนที่มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ที่จะส่งผลกระทบกับผู้คนและสังคมรอบข้าง



ผู้เขียน  สุมาลี โตกทอง

Kommentare


Dieser Beitrag kann nicht mehr kommentiert werden. Bitte den Website-Eigentümer für weitere Infos kontaktieren.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page