T2-13 | วงสนทนา “ตากใบพูด : เชื่อมใจ เชื่อมคน ก้าวข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความขัดแย้ง”
- Jitwiwat
- Apr 18
- 1 min read
1 มี.ค. 68 15:30-17:30 น. ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : โครงการเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจากกรณีความรุนแรงในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นำสนทนา : นารี เจริญผลพิริยะ และประชาชนกรณีตากใบ
ความขัดแย้งที่ชายแดนใต้แบ่งแยกคนออกจากกัน ความรุนแรง ความตาย และความรู้สึกหวาดกลัวเรื้อรังสร้างอคติในใจโดยไม่รู้ตัว จนอาจสุดขั้วกลายเป็นความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ แม้ปัจจุบันความรุนแรงจะลดลงไปบ้าง แต่ความขัดแย้งในพื้นที่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข วงสนทนานี้จะทำให้คนนอกพื้นที่มีโอกาสสัมผัสใจของ “ตากใบ” ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน ได้พบ ได้เชื่อมใจ ได้เรียนรู้จากกันจริง ๆ แบบไม่ผ่านข่าวสารหรือคำบอกเล่า และไม่ว่าอนาคตของพื้นที่จะเป็นเช่นไร ประชาชนแต่ละฝ่ายจะยังพยายามปฏิบัติต่อกันโดยเห็นความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายเช่นเดียวกับตน
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
นำเสนอเรื่องราวจริงจากประสบการณ์ตรงของผู้เผชิญเหตุการณ์ความรุนแรงกรณีตากใบ เพื่อให้เกิดเชื่อมโยงทางใจไปถึงผู้เข้าร่วมในงาน แม้เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่ปัญหาความขัดแย้งยังไม่ได้รับการแก้ไข ผู้สูญเสียและผู้ได้รับผลกระทบยังไม่ได้รับการเยียวยา คดีตากใบที่หมดอายุความ วงสนทนานี้จึงเปิดพื้นที่ให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และให้เจ้าของเรื่องได้บอกเล่า “ความจริง” ที่เกิดขึ้น และผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสสัมผัสใจ “ตากใบ” ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน
ผู้นำสนทนากล่าวเปิดวง แจกกระดาษและสีให้ผู้เข้าร่วมวาดรูปตากใบที่รู้จักแล้วเก็บไว้ จากนั้นแนะนำผู้ร่วมสนทนา 4 คน และให้เวลาแต่ละคนซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงในกรณีความรุนแรงที่ตากใบ บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างละเอียด ทั้งก่อนหน้า วันเกิดเหตุ และหลังจากนั้น การเผชิญความสูญเสีย การถูกกระทำรุนแรงโดยคนของรัฐ และการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐและกระบวนการยุติธรรม จนกลุ่มชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แม้คดีจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เพราะไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นตากใบ หรือพื้นที่ใดในประเทศไทยก็ตาม
“...เขาขนไปเหมือนผักปลา มัดมือให้ขึ้นรถคนนอนทับกัน 4-5 ชั้น ใช้เวลา 7 ชั่วโมง พี่ชายเสียในการขนส่ง แม่ไปรับกลับมา... สภาพศพดำเหมือนต้นไม้โดนเผา คอหัก มีรอยกระสุนที่หน้าอก อาบน้ำศพไม่ได้เพราะผิวจะถลอก ดีที่พี่ชายสวมแหวนและมีแผลที่เคยผ่าตัดที่คิ้ว...” เรื่องเล่าตอนหนึ่งของเหตุการณ์
วิธีการถ่ายทอดเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีสไลด์หรือภาพประกอบ มีเพียงกลุ่มชาวบ้านตากใบในวันนั้น มวลบรรยากาศเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเศร้า เสียใจ สะเทือนใจ บางช่วงตอนมีก้อนสะอื้นไห้จุกแน่นในอก จนไม่สามารถเล่าต่อได้
กิจกรรมนี้ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องข้อมูลหรือหาแนวทางแก้ปัญหา แต่เป็นพื้นที่ให้ผู้ได้รับผลกระทบและผู้สูญเสียได้พูดถ่ายทอดความรู้สึกภายใน แบ่งปันเรื่องราวที่คับข้องขมขื่นจากความอยุติธรรมที่ถูกบีบบังคับให้รับมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบัน ร่วมยี่สิบปี งานนี้จึงเป็นสะพานเชื่อมใจ เชื่อมโยงผู้คนต่างพื้นที่ ต่างที่มา ต่างวัฒนธรรม ได้เข้าถึงหัวจิตหัวใจของกันและกัน บนพื้นฐานของใจกรุณา อันเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์
เรื่องราวอันทุกข์ยากเจ็บปวดแสนสาหัส เมื่อถูกถ่ายทอดจากความรู้สึกภายในของผู้ประสบเหตุการณ์ความรุนแรงด้วยตัวเองนั้น ทรงพลังและสั่นสะเทือนมากพอที่จะเผยให้เห็นคุณค่าและความหมายของการร่วมทุกข์ การให้กำลังใจแก่กันเพื่อให้ยังมีความหวังในการดำเนินชีวิตต่อไปได้
สิ่งที่พบได้ในท่ามกลางความรุนแรงนั้นยังมีสันติภาพ เมื่อผู้ได้รับผลกระทบและผู้สูญเสียได้เผยความเปราะบางภายใน พลังแห่งสันติภาวะจึงได้ส่งต่อจากปัจเจกสู่มวลชน การเรียกร้องความยุติธรรมนั้นไม่ได้เท่ากับความรุนแรง แต่เพราะการยืนหยัดในการต่อสู้กับความอยุติธรรมนั้นเอง ที่เป็นบ่อเกิดของสันติภาวะในใจผู้คน ดังบทสวดภาษามลายูและข้อความภาษาไทย ที่ชายมุสลิมผู้สูญเสียพี่ชายได้กล่าวก่อนเล่าเรื่องว่า
“ขอสันติสุขและสันติภาพเกิดแต่ท่านและโลกใบนี้”
การเรียกร้องความเป็นธรรมและการเยียวยาแก่ผู้สูญเสียและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น ไม่ได้ต้องการให้เกิดสันติภาพเพียงแค่พื้นที่ชายแดนใต้ แต่ต้องการให้เกิดทุกพื้นที่ในประเทศไทย และบนโลกใบนี้
ถึงที่สุดแล้ว มนุษย์จะเติบโตทางจิตวิญญาณได้ก็ด้วยการเผชิญทุกข์ โอบรับและศิโรราบต่อทุกข์ ขอบคุณความทุกข์ที่เป็นครู หัวใจของเราจึงเข้าถึงความรักที่ไร้ซึ่งเงื่อนไข เป็นใจแห่งเมตตากรุณาที่แท้จริงได้ ดั่งเรื่องราวเรื่องเล่าผ่านความทุกข์ของผู้สูญเสียกรณีตากใบ ได้สั่นสะเทือนหัวใจของผู้เข้าร่วมรับฟัง และเมื่อเรายอมเปิดใจโอบรับความสั่นสะเทือนนั้นเข้ามาสู่ใจเราโดยไม่ปิดกั้น การเข้าถึงคุณค่าและความหมายของการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวจึงสามารถปรากฏขึ้นในใจให้เรารับรู้สัมผัสได้
ด้านผู้เข้าร่วมที่ให้ความสนใจรับฟังเรื่องราว ในช่วงท้ายมีบางท่านส่งเสียงของความรัก ความเข้าใจ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความขอบคุณและชื่นชมในความอดทนและกล้าเผชิญต่อเหตุการณ์ที่ยากลำบากโดยไม่ท้อถอย การกล่าวยกย่องชื่นชมในความดีงามของการเรียกร้องความยุติธรรม เป็นการให้คุณค่าไม่เพียงแค่สำหรับปัจเจกเท่านั้น แต่ยังมีความหมายสะท้อนเชื่อมโยงไปถึงการทำเพื่อผู้อื่นในสังคมด้วย เป็นความงดงามของการเชื่อมใจ เชื่อมคน บนความแตกต่างของที่มาและที่เป็นได้อย่างแท้จริง
คดีมีอายุความ ความรู้สึกไม่มีอายุความ
ตราบใดไม่เกิดความยุติธรรม สันติภาพก็ไม่เกิดในชายแดนใต้
ขอบคุณที่มาส่งเสียง ... เราจะอยู่อย่างไรถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้ทำหน้าที่
Comments