T2-12 | เสวนา “จากสายน้ำถึงทะเล : วิจัยไทบ้าน นิเวศวิทยาพื้นบ้านและจิตวิญญาณต่อธรรมชาติ”
- Jitwiwat
- Apr 19
- 2 min read
Updated: Aug 10
1 มี.ค. 68 15:30-17:30 น. ห้องประชุมชั้น 11 โรงแรมทริปเปิ้ลวาย สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.มหาสารคาม
และ ศ.กิตติคุณ สุริชัย หวันแก้ว
นำเสวนา : ศ.กิตติคุณ สุริชัย หวันแก้ว, ครูตี๋ นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ,
นาซอรี หวะหลำ อ.จะนะ จ.สงขลา และ สลวย หาญทะเล เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล
ผู้ดำเนินรายการ : ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
ร่วมเรียนรู้โลกทัศน์ของชาวบ้านและกลุ่มชาติพันธุ์ ที่สะท้อนจิตวิญญาณและวิถีชีวิตของผู้คนที่ผูกพันกับจิตวิญญาณของผืนดินและธรรมชาติ จากผลงานวิจัยจาวบ้านเชียงของ-เวียงแก่น ของโฮงเฮียนแม่น้ำของ นักรบผ้าถุง และกลุ่มนักวิจัยชาวเลอูรักลาโวยจเกาะหลีเป๊ะ-เกาะอาดัง
ความลึกซึ้งของงานอยู่ที่กระบวนการทำงานวิจัย ซึ่งเป็นการศึกษานิเวศวิทยาและวิถีวัฒนธรรรมพื้นบ้านโดยสามัญชน ชาวบ้านเป็นคนทำงานหลักในการสร้างองค์ความรู้ ร่วมกับนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมที่เคารพภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ของทั้งท้องถิ่นและความยั่งยืนโดยรวม
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
งานวิจัยทั่วไปที่ทำโดยนักวิชาการภายนอกชุมชนมีความเป็นศาสตร์ที่แข็งตัวซึ่งแตกต่างจากความรู้แบบพื้นบ้าน จึงไม่สามารถตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ และไม่เกิดประโยชน์ ส่วนงานของนักวิจัยไทบ้าน (ที่เชียงของ จะนะ และเกาะหลีเป๊ะ) เป็นงานวิจัยที่ทำโดยชาวบ้าน อาศัยการมีส่วนร่วม ชาวบ้านจึงมีความเป็นเจ้าของและมีอำนาจต่อรองในแง่ความรู้ โดยเป็นการใช้ความรู้ท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม
ที่ผ่านมา พบว่าเกิดปัญหาขึ้นในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรุกล้ำธรรมชาติ พื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ด้วยเหตุผลของการพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัย คนในท้องถิ่นนั้น ๆ จึงลุกขึ้นมาร่วมมือกันและหาวิธีปกป้องชุมชนของตนเองด้วยการทำงานวิจัยไทบ้าน
การทำงานวิจัยเริ่มจากการตั้งโจทย์ร่วมกันโดยชาวบ้านด้วยกันเองและอาศัยกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วม การทำงานช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้จริง อีกทั้งช่วยเสริมพลังและยังพัฒนาศักยภาพของตัวชาวบ้านเองด้วย อนึ่ง งานวิจัยไทบ้านเป็นงานที่ทำโดยชาวบ้าน มิได้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานแบบวิชาการกระแสหลัก ไม่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ แต่ตีพิมพ์กันเองเป็นหนังสือ และไม่ต้องการการรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน หากแต่ชาวบ้านด้วยกันให้การรับรอง ชาวบ้านทำ และชาวบ้านได้ประโยชน์ งานวิจัยไทบ้านจึงเป็นไปเพื่อดูแลปกป้องมนุษย์ที่อยู่กับธรรมชาติ ด้วยการพึ่งพาอาศัยกันเอง ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองและไม่ต้องพึ่งพิงแหล่งทุน
ผู้นำเสวนาแต่ละท่านได้ออกมาเล่าประสบการณ์การทำงาน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจสรุปได้ดังนี้
การสร้างเขื่อนและระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง คือการทำลายบ้านของปลา ทำลายที่เกิดของสาหร่ายไก คนภายนอกอาจมองว่ามันคือหินโสโครก แต่ชาวบ้านมองว่านี่คือเรื่องใหญ่มาก สามารถทำลายแม่น้ำได้ทั้งสาย
ชาวบ้านรู้จักแม่น้ำ รู้จักป่า แต่ยังขาดความรู้เชิงระบบ ขาดฐานข้อมูลที่เป็นตัวเลข
การอธิบายความรู้ผ่านตำนานและความเชื่อก็มีความจำเป็น ผลการวิจัยสามารถทำให้คนรักและหันมาปกป้องธรรมชาติ ด้วยเข้าใจถึงจิตวิญญาณของธรรมชาติ รู้จักรากเหง้าตนเอง อีกทั้งยังส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาบ้านเมืองได้
ทะเลจะนะไม่แห้ง แต่อุดมสมบูรณ์และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เรามีปลาถึง 126 ชนิด นอกจากนี้ ยังมีกุ้ง หมึก หอย รวมถึงมีธนาคารปู และการทำปะการังเทียม
มีการทำแผนที่เศรษฐกิจของชุมชน ข้อมูลปริมาณสัตว์น้ำ และรายได้จากสัตว์น้ำ
เกาะหลีเป๊ะพอถูกประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เกิดรีสอร์ต โรงแรม ชาวบ้านก็ถูกกีดกั้นไม่ให้เข้าพื้นที่ ไม่สามารถเข้าป่าหาของกินและไปกราบไหว้สุสานบรรพบุรุษได้เหมือนเดิม
“ความรู้อยู่ในเนื้อในตัวในชีวิต การลุกขึ้นต่อสู้อาจไม่ใช่เนื้อตัวของเรา
แต่การอยู่กับทะเล กับแม่น้ำ กับป่าเขาได้คือความรู้ที่แท้ที่เรามีอยู่”
ข้อมูลความรู้ที่ได้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการสำรวจชื่อและจำนวนของสัตว์และพืชในท้องถิ่น มูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงสถานที่ เกาะแก่ง และตำนาน ความเชื่อ โดยมากมักหักล้างกับความรู้ที่ได้จากการศึกษากระแสหลัก งานวิจัยไทบ้านจะสำเร็จด้วยดีก็ต้องอาศัยการชี้แนะจากอาจารย์หรือนักวิจัยในระบบด้วย เพื่อมาเสริมความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ ในเวลาเดียวกันก็สามารถเรียนรู้จากการทำงานของพื้นที่อื่น ๆ ได้ด้วย
คุณค่าของการทำงานวิจัยไทบ้านคือการช่วยให้คนในชุมชนได้เห็นถึงความสำคัญ เกิดความรัก และพร้อมให้ความร่วมมือที่จะช่วยกันปกป้องบ้าน ชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรม - เพราะความรู้ทำให้เกิดความรัก - การที่ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความเกื้อกูล เคารพ และนอบน้อมต่อกันและต่อธรรมชาติ นี่คือสันติภาวะทั้งในบุคคลและชุมชน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทุกคนเห็นความสำคัญของตัวเอง เชื่อมโยงตัวเองกับธรรมชาติ เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ นี่คือสุขภาวะทางจิตวิญญาณที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่ใจของผู้คนในที่สุด
วิชาการที่ไม่เคารพภูมิปัญญาของพื้นที่ มันคืออาชญากรรม!
เชื่อมั่นว่าความดีที่ทำต่อผู้อื่นจะสะท้อนกลับมาหาตัวเราเอง ขอบคุณ
เราจะลุกขึ้นสู้ ไม่รู้จะหนีไปไหนแล้ว เราอยู่สุดขอบประเทศไทยแล้ว
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทสะท้อนจากห้องย่อย วิจัยไทบ้าน : จากสายน้ำถึงทะเล นิเวศวิทยาพื้นบ้าน และจิตวิญญาณต่อธรรมชาติ
ความดีใจ
เมื่อผมได้รับการติดต่อจากคณะทำงานการประชุมวิชาการสุขภาวะทางปัญญา ’68 “จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง” ซึ่งจะจัดขึ้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ว่าท่านอาจารย์สุริชัยอยากให้มีเวทีย่อยงานวิจัยไทบ้าน ในงานสัมมนาดังกล่าว เพื่อนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศมาเสนอ ผมไม่ลังเลใจที่จะตอบตกลงทันที เพราะการได้จัดงานวิจัยไทบ้านในใจกลางกรุงเทพฯ คือโอกาสสำคัญของพี่น้องที่อยู่ชายขอบทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และเชิงสังคม ที่จะได้อธิบายให้สังคมเห็นว่า โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ที่ผูกขาดความจริง รวมถึงกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ แต่สังคมไทยยังมีความรู้อีกหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ ความรู้ท้องถิ่นที่ถูกเบียดขับไปจากกระบวนการตัดสินใจในการพัฒนา ขณะที่ชาวบ้าน คนชายขอบ กลุ่มชาติพันธุ์ยังคงมีวิถีชีวิตโดยใช้ความรู้แบบท้องถิ่น และพวกเขารวมถึงตัวผมเองที่ได้พยายามทำให้ความรู้ท้องถิ่นของสามัญชนมีหลักฐานทางวิชาการที่เรียกกันว่า “งานวิจัยไทบ้าน” ที่สำคัญก็คือ ผมเห็นว่า ในโอกาสการประชุมวิชาการครั้งนี้ เป็นโอกาสที่จะเชื่อมโยงให้เห็นว่า ความรู้ท้องถิ่นของชาวบ้าน คนชายขอบ กลุ่มชาติพันธุ์ ยังมีความหมายในแง่ของจิตวิญญาณที่คนเหล่านี้มีต่อธรรมชาติ ซึ่งความรู้กระแสหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้แบบวิทยาศาสตร์ไม่มี เพราะความรู้แบบวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่แยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ
กระบวนการทำงานที่มีความสุข
ก้าวแรกที่ผมรู้สึกท้าทายก็คือ การที่พวกเรา คือ ฝ่ายประสานงานของการประชุมฯ ท่านอาจารย์สุริชัย และผม ต้องประชุมกันเพื่อทำความเข้าใจถึงเวทีย่อย ทั้งในแง่ของความหมายของเวที ใครที่เราควรจะเชิญ และเราจะจัดการอย่างไร เพราะมีหลายพื้นที่ที่มีการทำวิจัยไทบ้าน และแต่ละพื้นที่อยู่ห่างไกล ต้องเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ ขณะที่งบประมาณมีค่อนข้างจำกัด โดยที่ท่านอาจารย์สุริชัยพยายามที่จะให้พวกเราเข้าใจร่วมกันก่อนที่จะเดินหน้าจัดเวที ผมดีใจที่พวกเราใช้เวลาประชุมแบบออนไลน์ไม่นานก็เข้าใจตรงกัน และเห็นพ้องต้องกันว่า เราจะเชิญครูตี๋ ที่ทำวิจัยจาวบ้านกับชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย และเป็นพื้นที่ที่ประสบกับปัญหาการพัฒนาอย่างหนักหน่วง ทั้งการสร้างเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน และการระเบิดแก่งแม่น้ำโขง ขณะที่ระบบนิเวศแบบทะเล พวกเราตกลงจะเชิญพี่น้องจะนะที่ทำวิจัยไทบ้านฉบับนักรบผ้าถุง ซึ่งอยู่ฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออก และกำลังเผชิญกับโครงการนิคมอุตสาหกรรม สำหรับกลุ่มสุดท้าย พวกเราเห็นด้วยว่าควรเชิญพี่น้องชาวเลเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ที่กำลังทำวิจัยชาวเลอุรักลาโวยจ-เกาะอาดัง ซึ่งอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน และกำลังเผชิญกับการแย่งยึดที่ดิน และที่ทำกินที่เป็นของบรรพชน
หลังจากได้ประชุมกันแล้ว ก็เข้าสู่การดำเนินงาน สิ่งที่ทำให้ผมวิตกก็คือ ทางผู้จัดถามว่ามีองค์กรร่วมห้องย่อยที่จะสนับสนุนงบประมาณหรือไม่ ซึ่งผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และยากมากที่พวกเราจะหาองค์กรมาร่วมจัด ทำให้ผมเริ่มหมดหวังว่าจะมีการประชุมห้องย่อย แต่อีกไม่กี่วันผมก็โล่งใจที่หญิงซึ่งเป็นผู้ประสานงานการประชุมแจ้งว่าได้จัดงบให้กับพี่น้องทั้ง 3 ที่ได้แล้ว และยังเพียงพอสำหรับการนำชาวบ้านที่เป็นวิทยากรและชาวบ้านคนอื่น รวมทั้งให้เยาวชนจากจะนะ และหลีเป๊ะ มาร่วมงานด้วย
ที่ผมเห็นว่าข้อดีที่ฝ่ายประสานงานดำเนินการให้คือการอำนวยความสะดวกด้านการเงินที่ทำให้แต่ละพื้นที่สามารถจัดการกันเอง เพราะทีมชาวบ้านที่มามีข้อจำกัดบางประการ เช่น ชาวบ้านจากจะนะเป็นมุสลิม หรือทีมหลีเป๊ะที่ต้องเดินทางไกลจากเกาะมายังแผ่นดินและเดินทางต่อไปกรุงเทพฯ การจัดสรรงบประมาณและให้จัดการกันเอง ผมแทบไม่เคยเจอในการประชุมใหญ่ๆ มาก่อน ขณะที่ชาวบ้านเองก็บอกกับผมว่า “ทำแบบนี้ดีมาก เพราะพวกเราเป็นมุสลิม จะได้จัดการอาหารได้สะดวกระหว่างการเดินทาง รวมทั้งระหว่างอยู่กรุงเทพฯ”
การต้อนรับที่อบอุ่น และการเรียนรู้ของชุมชน
เมื่อถึงวันงาน พวกเราทุกทีมนัดเจอกันที่สามย่านมิตรทาวน์ แม้สามย่านมิตรทาวน์เป็นอาคารที่สลับซับซ้อนมาก แต่พวกเราก็เดินหากันจนเจอและมาถึงชั้นที่จัดประชุมใหญ่ตามที่วางแผนไว้ สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ หญิงก็คอยโทรศัพท์ถามตลอดด้วยความเป็นห่วง และเมื่อเจอกันก็ต้อนรับพี่น้องและดูแลอย่างดี รวมถึงการแนะนำให้คณะของพวกเราได้เข้าเรียนรู้นิทรรศการต่างๆ ทั้งชั้น 4 และชั้นล่าง
ก่อนเวลาที่พวกเราจะต้องพูด ทุกคนจึงได้เรียนรู้ตามประเด็นที่แต่ละคนสนใจ และตั้งใจเรียนรู้เพื่อนำกลับไปเล่าให้พี่น้องที่ไม่ได้มา
สำหรับผมแล้ว งานประชุมครั้งนี้เป็นเสมือนงานพบกัลยาณมิตร เพราะหลายคนที่ไม่ได้เจอกันนานมาก ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ดูเหมือนว่าการได้ทักทายกัลยาณมิตรเป็นกำไรของการมาร่วมงานประชุมครั้งนี้
ห้องย่อย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมิตรภาพทางสังคม
แม้ว่าห้องย่อยของพวกเราจะอยูไกลออกไปอีกที่ แต่พวกเราก็ได้รับการอำนวยความสะดวกจากหญิงและคณะทำงาน เราได้มีโอกาสวางแผนการประชุมห้องย่อยในห้องรับรองก่อน ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่จะพูดลดความตื่นเต้นลงได้มาก เพราะมันไม่ง่ายสำหรับชาวบ้านที่จะพูดในเวทีที่ดูเป็นทางการแบบนี้ สิ่งที่ผมขอให้คณะทำงานช่วยก็คือ การจัดห้องประชุมเป็นครึ่งวงกลม ซึ่งดูดีกว่าการที่ทุกคนนั่งเหมือนมาฟังการบรรยาย
สิ่งที่ประหลาดใจมากก็คือ คณะทำงานบอกว่ามีการ Live ทางเพจด้วย ซึ่งพวกเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ อย่างน้อยเราก็ได้เพิ่มช่องทางให้คนที่เดินทางมาร่วมฟังที่ห้องไม่ได้ ได้มีโอกาสฟังจากพวกเรา
แม้ว่าคนในห้องประชุมไม่มากอย่างที่คิด แต่ผมก็ดีใจที่มีคนสนใจที่หลากหลาย ทั้งกัลยาณมิตรทางวิชาการ นักพัฒนาเอกชน นักสิ่งแวดล้อม รวมถึงนักศึกษา นอกจากนั้น ยังมีกัลยาณมิตรบางคนที่ผมไม่เคยเจอกันกันกว่า 30 ปี ได้ตามมาฟังด้วย นอกจากกัลยาณมิตรจะสนใจในเนื้อหาแล้ว ยังช่วยบันทึกภาพทั้งภาพนิ่งและคลิปที่ซึ่งสามารถนำไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียของตัวเอง
ในการนำเสนอในห้องย่อย ดูเหมือนว่าในห้องประชุมเข้าใจตรงกันว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ที่ผูกขาดความจริง แต่ยังมีความรู้พื้นบ้าน หรือความรู้ท้องถิ่นด้านสิ่งแวดล้อมเชิงวัฒนธรรมด้วย และความรู้นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง การที่ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากก็ต้องขอบคุณท่านอาจารย์สุริชัย และครูตี๋ ที่ช่วยอธิบายให้พวกเรา
สิ่งที่ผู้เข้าร่วมประชุมห้องย่อยสนใจอีกอย่างก็คือ การได้เรียนรู้จิตวิญญาณต่อธรรมชาติของคนชายขอบ ที่แทบจะไม่เคยมีการกล่าวถึงในการประชุมทางวิชาการ อย่างไรก็ตาม “ภาษา” ก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะชาวบ้านทั้งจากจะนะและหลีเป๊ะพยายามอธิบายเป็นภาษาถิ่น และเราโชคดีที่ท่านอาจารย์สุริชัยได้ช่วยแปลภาษาให้เข้าใจง่าย เช่น เมื่อพี่น้องนักวิจัยชาวเลอุรักลาโวยจเกาะหลีเป๊ะกล่าวถึง “พิธีปูยาลาโวยจ” ซึ่งเป็นการขอขมาสัตว์น้ำที่กลุ่มชาติพันธุ์อุรักลาโวยจจับไปและขอให้สัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ ท่านอาจารย์ใช้คำว่า “บูชาทะเล” ซึ่งคำนี้นอกจากทำให้เข้าใจง่ายแล้ว ยังเชื่อมจิตวิญญาณระหว่างระหว่างพี่น้องชาวเลกับคนฟัง
นอกเหนือจากการเรียนรู้เรื่องประเภทของความรู้ และจิตวิญญาณต่อธรรมชาติแล้ว สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากก็คือ การที่ผู้เข้าร่วมประชุมกับชาวบ้านรู้สึกว่าเป็นกัลยาณมิตรกัน และอยากหนุนเสริมการต่อสู้ของชาวบ้าน รวมทั้งช่วยพัฒนางานวิจัยไทบ้าน เช่น อาจารย์ ดร.ชวลิต วิทยานนท์ ที่เป็นนักอนุกรมวิธานปลา แต่ท่านอภิปรายสนับสนุนการทำวิจัยไทบ้านฉบับนักรบผ้าถุง ซึ่งมีประโยชน์ในการผลักดันให้อนุรักษ์ทะเลโดยชุมชนชายฝั่งทะเลจะนะ ขณะที่ ศ.ดร. อริยา อรุณินท์ ที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภูมิทัศน์เชิงสุขภาวะและชีวะสัมพันธ์ ได้แนะนำให้พวกเรานำภาพเข้าไปประกอบจากงานวิจัยไทบ้าน เช่น ภาพปลา เข้าไปรวมอยู่ในแผนที่เป็น photo voice ที่จะทำให้คนทั่วไปเข้าใจความอุดมสมบูรณ์ของทะเลมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เข้าร่วมประชุมห้องย่อยยังรู้สึก “รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ร้อน รู้หนาว” กับพี่น้องชาวบ้านทั้งจากแม่น้ำโขง จะนะ และหลีเป๊ะ ที่กำลังเผชิญกับปัญหา จากการได้รับฟังความทุกข์จากปากของชาวบ้านเอง และเห็นตัวอย่างรูปธรรม จนแทบไม่ต้องตั้งคำถาม เช่น การที่ชาวบ้านริมฝั่งโขงไม่มีปลาให้จับหลังมีการสร้างเขื่อน หรือการที่ผู้เข้าร่วมประชุมได้ฟังเรื่องเล่าจากชาวเลเกาะหลีเป๊ะว่า แผ่นดินบรรพชนถูกแย่งยึดจากรัฐและทุน แม้แต่ที่ฝังศพก็ยังไม่มี
การประชุมห้องย่อยที่ทำให้คนเมืองรู้สึก “รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ร้อน รู้หนาว” ต่อปัญหาของชาวบ้านคนชายขอบที่อยู่ห่างไกลออกไปนับพันกิโลเมตร คือผลพวงที่ได้จากการประชุมห้องย่อย ที่นับว่ามีคุณค่าอย่างมาก แม้ว่าเรามีเวลาพูดคุยกันเพียง 2 ชั่วโมง
ผมได้แต่หวังว่า การประชุมจะไม่จบลงแค่การปิดประชุมห้องย่อย และขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมประชุม รวมทั้งผู้ชมทางบ้าน แต่ยังหวังว่าสักวันหนึ่ง กัลยาณมิตรของชาวบ้านจะได้มีโอกาสไปเยือนพี่น้องทั้ง 3 ที่ และพัฒนาความสัมพันธ์ให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น ทั้งการได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และการร่วมกับพี่น้องทั้ง 3 ที่ หรือพี่น้องที่อื่นๆ ที่กำลังทำวิจัยไทบ้าน ในการต่อสู้เพื่อปกป้องธรรมชาติให้เป็นมรดกให้คนรุ่นหลังต่อไป









Comments