T2-11 | เสวนา “หลักธรรม วิถีอหิงสา บทเรียนจากชีวิตและปรัชญาพุทธศาสนาของครูบาศรีวิชัย”
- Jitwiwat
- Apr 20
- 1 min read
Updated: Jul 26
1 มี.ค. 68 13:00-15:00 น. ห้องประชุม 1 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : รศ.ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ ศ.กิตติคุณ สุริชัย หวันแก้ว
นำเสวนา : ศ.กิตติคุณ สุริชัย หวันแก้ว, ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง และ อ.แสวง มาละแซม
ผู้ดำเนินรายการ : รศ.ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว
วงเสวนาที่เปิดเผยข้อมูลทางวิชาการที่ทำให้เข้าใจชีวประวัติ วิถีอหิงสา และวิถีปฏิบัติตามแนวโพธิสัตว์แบบจารีตล้านนาของครูบาเจ้าศรีวิไชย ที่ซึมลึกอยู่ในโลกทัศน์ทางศาสนาของล้านนาและวิถีชีวิตของคนทั่วภาคเหนือของไทย เป็นทั้งหลักธรรม ปรัชญา และความรู้ที่จับต้องได้ สำหรับนำพาจิตสาธารณะของคนทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น ให้อยู่ร่วมและขับเคลื่อนงานสาธารณประโยชน์อย่างสันติท่ามกลางความขัดแย้ง เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอชื่อครูบาศรีวิไชยเป็นบุคคลสำคัญของโลกของยูเนสโก
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
นำเสนอเรื่องราวของครูบาศรีวิชัยในประเด็นที่เกี่ยวกับปรัชญาพุทธ แนวคิดอหิงสา และหลักธรรมที่มาจากครูบา บนความศรัทธาและให้เกียรติที่จะขยายความเข้าใจเกี่ยวกับตัวท่านในมิตินี้ด้วย แล้วนำไปประกอบภาพทางประวัติศาสตร์ในล้านนาให้มีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง
ที่ผ่านมา ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่พูดถึงความขัดแย้งในพระพุทธศาสนาระหว่างล้านนากับสยามมักเป็นหัวข้อสำคัญที่อธิบายถึงความเป็นครูบาศรีวิชัย มีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังการสร้างบ้านเมืองภายใต้การนำของครูบาเจ้า อย่างไรก็ดี ข้อมูลเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัยในด้านปรัชญา ความคิด และหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนาเองกลับมีการวิจัยอยู่ค่อนข้างน้อย ทีมผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาในประเด็นเหล่านี้ให้มากขึ้น ด้วยการสืบค้นหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์ แล้วนำมาตีความผ่านหลักศาสนาพุทธในล้านนา เช่นว่า ครูบาสอนอะไร และสอนอย่างไร โดยเฉพาะวิถีอหิงสาซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ความไม่รุนแรง สันติภาวะ และการมีสุขภาวะทางปัญญา
ผู้นำเสวนาใช้การบรรยายประกอบรูปภาพ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ที่มา และความสำคัญของครูบาศรีวิชัย ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้คนในภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ จากการเป็นผู้นำในการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ การบูรณะและการสร้างวัดอีกหลายแห่งในภาคเหนือ เช่น ลำพูน ลำปาง และเชียงราย จนทำให้ท่านได้รับการยกย่องเป็น “ต๋นบุญ” หรือนักบุญแห่งล้านนา ซึ่งผู้วิจัยตั้งสมมุติฐานว่าสอดคล้องกับแนวทางของพระโพธิสัตว์
ที่ผ่านมาสังคมรู้จักครูบาศรีวิชัยใน 3 ด้าน ได้แก่ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ ในภาคเหนือ และเรื่องอภินิหารต่างๆ เช่น การไม่มีเงา การไม่เหยียบผืนดิน ฯลฯ
พลังของท้องถิ่นมีน้อยเกินไป ส่วนรัฐก็มีอำนาจมากจนเข้ามาควบคุมวงการศาสนา ขณะที่ครูบาเจ้ามารื้อฟื้นความเป็นล้านนาและสามารถดึงคนจำนวนมากให้เข้ามามากขึ้นๆ จนกลายเป็นสัญญาณทางการเมือง
คนแสนกว่าคน ในเวลากว่า 5 เดือน เพื่อสร้างถนนขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ระหว่างทางยังต้องมีอีก 3 วัด คือ วัดโสดาบัน วัดสกิทาคามี (วัดผาลาด) และวัดอนาคามี ขณะที่วัดอรหันตาก็คือวัดพระธาตุดอยสุเทพ ทั้งหมดนี้สะท้อนเจตนารมณ์สำคัญและสื่อความหมายบนเส้นทางการเดินทางของชาวพุทธ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น คัมภีร์ใบลานจากหอธรรมที่วัดพระสิงห์ ได้สะท้อนความแข็งแกร่งทางหลักธรรมคำสอนและองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาของครูบาศรีวิชัยซึ่งมีมากมายที่ท่านจารเองและจ้างจาร อย่างเช่น โลกวินัยหรือหลักธรรมที่ใช้กับทางโลก สมันตปาสาทิกา และวิสุทธิมรรค อันเป็นภูมิปัญญาชั้น สูงที่ท่านอาจเข้าถึงก่อนใครๆ ทั้งปวงในยุคนั้น รวมไปถึงคำปรารถนาพุทธภูมิของครูบาเจ้า
ความเป็นรัฐสยามที่อยู่ท่ามกลางอำนาจของโลกสมัยใหม่ที่อาจเข้ามาคุกคาม ล้านนาจึงได้รับผลกระทบไปด้วย ความพยายามรวมศูนย์เมื่อร้อยปีที่แล้ว ได้รวมความคิดความเชื่อของผู้คนไปด้วย นี่จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่เราต่างก็นับถือศาสนาพุทธด้วยกัน
“คนสมัยก่อน ก่อนจะบวชได้ต้องเป็นขะโยมก่อน ซึ่งจะมีพระมาสอนให้อ่านเขียนอักษรธรรม เมื่อบวชเป็นพระแล้วจะได้เข้าถึงพระธรรมคำสอนได้ แต่ความเป็นชาติไทยไม่อนุญาตให้ชาวบ้านได้เรียนอักษรธรรมอีกต่อไป”
ข้อค้นพบเบื้องต้นคือ หลักธรรมของครูบาศรีวิชัยคือมิติที่ขาดหายไป นี่เองอาจเป็นที่มาให้สังคมในส่วน กลางเกิดความไม่ไว้วางใจในตัวท่านก็เป็นได้ เมื่อครูบาท่านต้องเผชิญกับโจทย์หนักในวันนั้น ท่านได้มีวิธีปฏิบัติและดำรงตนที่เชื่อมโยงกับหลักธรรมอย่างไร จุดนี้คือสิ่งที่น่าสนใจที่ควรต้องศึกษาค้นคว้าต่อจนกว่าจะบริบูรณ์
คุณค่าในด้านสันติภาวะ อาจสะท้อนอยู่ในวิถีอหิงสาของครูบาศรีวิชัยที่ท่านได้ใช้ต่อสู้กับอำนาจใหญ่ของรัฐในฐานะพระสงฆ์ ท่านทำอย่างไรจนได้รับความยอมรับนับถือที่ยิ่งใหญ่ ดังเช่นในการรวมผู้คนนับแสนได้โดยไม่มีความรุนแรง รวมถึงการสมานอำนาจทางการเมืองจากทางกรุงเทพฯ เข้ากับศาสนธรรมที่ท่านดำรงตนอยู่
ประวัติศาสตร์อาจให้ความหมายแก่เราได้มากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง
หากสิ่งนี้ดึงให้เราที่ดูเหมือนจะต่างกันได้มาหยั่งยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันด้วยความรู้สึกที่เชื่อมโยงและร่มเย็น
นี่คือคุณค่าเชิงลึกของประวัติศาสตร์ที่อาจมอบให้แก่ผู้คนได้ในยุคปัจจุบัน