top of page

T2-1 | เสวนา “องค์กรเกื้อหนุนชีวิตด้านใน”

Updated: Jun 6

27 ก.พ. 68  15:30-17:30 น.  ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ : นันท์นภัส การะโชติ โครงการ Happy Growth

วิทยากร : นันท์พันธ์ เปรี้ยวน้อย  บุญช่วย ประสิทธิ์สัมฤทธิ์  พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ และ รศ.ดร.รัตติกรณ์ จงวิศาล

ผู้ดำเนินรายการ : จณิน วัฒนปฤดา


ได้เวลาเติมพลังและสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับชีวิตวัยทำงาน สร้างความเข้าใจชีวิต เข้าใจผู้อื่น และเข้าใจโลก จนสามารถเกิดสติ เห็นคุณค่าและความหมายของชีวิต จากประสบการณ์จริงที่ได้ผลของผู้นำองค์กรขนาดใหญ่


เรียนรู้การออกแบบเส้นทางดูแลชีวิตด้านในของพนักงานอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่วิถีคิดของผู้นำ นโยบาย แผนงาน การลงมือปฏิบัติ จนถึงการประเมินผล เพื่อตอบโจทย์ Pain Point ของพนักงานทุกระดับอย่างตรงประเด็น และร่วมขบวนเป็นเครือข่ายองค์กรที่เกื้อหนุนชีวิตด้านในไปด้วยกันกับโครงการพื้นที่เรียนรู้สุขภาวะทางปัญญา



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ


ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


หากพนักงานไม่มีความสุขในการทำงาน องค์กรก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ พนักงานในองค์กรจึงเป็นปัจจัยหลักที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจดูแลทั้งมิติสุขภาพกายและสุขภาพจิต ผู้แทนองค์กรและผู้นำองค์กรจึงมาร่วมกันนำเสนอหลักการ แนวคิด ความสำคัญของการสร้างความเป็นจิตวิญญาณในองค์กร การนำเสนอผลงานวิจัยของเครื่องมือต่างๆ และกิจกรรมที่ช่วยฝึกฝน ส่งเสริมพนักงานในองค์กรให้มีความเข้าใจในตนเอง มีสติ รู้สึกตัว มีสมาธิ มองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำ ปรับพฤติกรรมเชิงบวก และมีความสุขในการทำงาน

 

ผู้เข้าร่วมเสวนานำเสนอผลจากงานวิจัยสี่เรื่อง ได้แก่ “งานวิจัยที่ศึกษาอิทธิพลและผลลัพธ์ของจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณในการทำงาน” งานวิจัยเรื่อง “โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาวะทางปัญญา ความผาสุกทางจิต และภาวะหมดไฟในการทำงานในคนวัยทำงาน” งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาสุขภาวะทางปัญญา และจิตวิญญาณในสถานที่ทำงาน” งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณ สำหรับผู้นำในองค์กร งานวิจัยเรื่อง การศึกษาและพัฒนาหลักสูตร Inner Development Goals (IDG) ในประเทศไทย”

 

ข้อสรุปหลักๆ ที่ได้จากการเสวนา ได้แก่

 

การสร้างความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในองค์กร จำเป็นที่จะต้องพัฒนาคนในองค์กรให้มีคุณภาพ ไม่ใช่เพียงแต่ทักษะความรู้ในการทำงานเท่านั้น แต่ต้องเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาหรือส่งเสริมให้พนักงานมีการพัฒนาตนเองจากภายในด้วย ส่วนกิจกรรมต่างๆ ที่จะนำไปใช้กับพนักงานก็แตกต่างกันไปตามบริบทขององค์กรนั้นๆ แต่ไม่มีการนำเสนอผลประกอบการที่ชัดเจนว่าเมื่อพนักงานเริ่มเรียนรู้ soft skill ต่างๆ แล้ว ผลประกอบการดีขึ้นจริงหรือไม่ แต่มีความชัดเจนว่าพนักงานมีความสุขในการทำงานมากขึ้น

 

คุณค่าที่ได้จากการเสวนานี้ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมปัญญาภายในอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้พนักงานรักและเข้าใจองค์กร สร้างความหวัง ความร่วมมือ และความสามัคคีในการทำงาน ก่อให้เกิดความร่วมมือในองค์กรที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น การฝึกสติและสมาธิช่วยให้พนักงานรู้จักตนเอง เห็นคุณค่า เข้าใจผู้อื่น ลดความขัดแย้ง และแก้ปัญหาอย่างสันติ การพัฒนาปัญญาภายในเพื่อความสุขในชีวิตของพนักงานทั้งองค์กรไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยการส่งเสริมจากองค์กรและคุณภาพภายในของแต่ละคน นักวิจัยยังคงเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้

 

ผู้เข้าร่วมที่มาจากหลากหลายองค์กรสนใจแนวทางนี้ แต่ผู้บริหารยังไม่แน่ใจว่าการพัฒนาจิตวิญญาณให้กับพนักงานจะช่วยเพิ่มผลประกอบการขององค์กรได้จริงหรือไม่ ผู้เก็บข้อมูลตั้งข้อสังเกตว่าการพัฒนาด้านจิตวิญญาณโดยธรรมชาติแล้วเป็นการทำงานภายในเพื่อยกระดับจิตสำนึกภายในก่อน แล้วจึงส่งผลสะท้อนออกมาภายนอก คือการเปลี่ยนแปลงในระดับพฤติกรรมภายหลัง แต่สิ่งที่บางองค์กรนำไปใช้ยังเป็นการฝึกการเปลี่ยนแปลงที่ภายนอกก่อน เพื่อหวังผลการเปลี่ยนแปลงภายในที่ตามมา จึงอาจคาดหวังการเปลี่ยนแปลงภายในที่แท้จริงได้ยาก

 


“อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในองค์กรของคุณ... ‘คน’ ไง”

 

“ถ้าเราอยากจะทำให้ทีมงานเรามีความสุข เราเองก็ต้องเป็นเหมือนถังพลังงานความสุขนั้นก่อน”



ผู้เขียน  ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68





สรุปเวทีเสวนา โดยเจ้าภาพห้องประชุมย่อย


เราตระหนักดีว่าไม่ว่ายุคสมัยใด โลกของการทำงานล้วนเต็มไปด้วยความเร่งรีบและแรงกดดัน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายองค์กรเริ่มตระหนักว่าความสำเร็จขององค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับคุณภาพของคนทำงาน โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพจิตใจของพนักงานที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในระหว่างการทำงาน ทีม Happy Growth ได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่า วันสุขภาพจิตโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาพันธ์สุขภาพจิตโลก (World Federation for Mental Health หรือ WFMH) ในปี 2567 มีธีมที่น่าสนใจคือ “ถึงเวลาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตในที่ทำงาน” (It's Time to Prioritize Mental Health in the Workplace)

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังรายงานว่า ทุกปีมีวันทำงานสูญเสียไปถึง 12 พันล้านวันเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกสูญเสียมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

อย่างไรก็ตาม WHO ได้ระบุ วิธีการดูแลสุขภาพจิตเริ่มที่ตัวเราและสามารถทำได้ง่ายๆ เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างสุขภาพจิตที่ดีขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นอกจากการสร้างกิจวัตรประจำวันที่ดี เช่น การฝึกสติหรือทำสมาธิ จะช่วยให้จัดการกับความเครียดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ ช่วยให้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันและลดความวิตกกังวล รวมทั้งการสร้างเครือข่ายสังคม เพราะความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง มีความสำคัญต่อสุขภาพจิตอย่างมาก

 

การศึกษาล่าสุดจาก World Economic Forum ยังชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่ลงทุนในสุขภาพจิตของพนักงานมีแนวโน้มที่จะเห็นผลตอบแทนการลงทุน (ROI) สูงถึง 4 เท่าจากการเพิ่มผลิตภาพและการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตในที่ทำงานไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องทางจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาดด้วย เพราะปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงานไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรโดยรวม

 

ในส่วนของประเทศไทย เราพบว่าองค์กรทั่วไปมักใช้คำว่าการส่งเสริมความเป็นอยู่ทีดี หรือ Well-being ให้กับพนักงาน หรือการเป็น Well-being organization ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงความหมายของ Well-being ในธรรมนูญสุขภาพ WHO) นิยามว่า “สภาวะความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางกาย จิต และสังคม และไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของการปราศจากโรคและความพิการ (Health is a state of complete physical, mental and social well-being and not merely the absence of the disease and infirmity)” ซึ่งถือว่ามีความครอบคลุมมิติสำคัญของชีวิตมนุษย์ทั้งเรื่อง ร่างกาย จิตใจ และสังคม

 

สำหรับประเทศไทยมองนิยามกว้างไปกว่านั้น โดยรวมเอามิติทางด้าน ‘ปัญญา’ เข้ามาเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ดังปรากฎในพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่นิยาม ‘สุขภาพ’ ว่า “ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล”

 

อย่างไรก็ตาม นิยามนี้กลับไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างมากนัก  ทีม Happy Growth จึงได้มีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพห้องย่อยในหัวข้อ "องค์กรเกื้อหนุนชีวิตด้านใน" ด้วยความตั้งใจที่จะเสริมความรู้ สร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของสุขภาวะทางปัญญา (Spiritual Health) สำหรับคนวัยทำงานในองค์กร  และส่งเสริมให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานเรื่องสุขภาวะทางปัญญาในองค์กรต่างๆ โดยหวังที่จะร่วมสนับสนุนให้องค์กรไทย นำมิติสุขภาวะทางปัญญาไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพพนักงานในองค์กร

 


ความหมาย และบทบาทของสุขภาวะทางปัญญาในองค์กร (Spiritual Health in Organization)

 

ในช่วงแรก รศ.ดร.รัตติกรณ์ จงวิศาล  อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และ คุณธรากร กมลเปรมปิยะกุล หัวหน้าโครงการ IDG Oneness by We Oneness ได้มุมมองต่อความหมายของสุขภาวะทางปัญญาในองค์กร โดยชี้ว่า สุขภาวะทางปัญญา (Spiritual Health) หมายถึง สุขภาวะที่เกิดจากการเข้าใจตนเองและชีวิต เห็นความเชื่อมโยงกับผู้อื่น โลก ธรรมชาติ นำไปสู่การร่วมสร้างสังคมเกื้อกูล

 

สุขภาวะทางปัญญาในองค์กร (Spiritual Health in Organization) คือ สภาวะที่พนักงานสามารถเชื่อมโยงกับตนเอง ผู้อื่น องค์กร และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดความหมายในการทำงาน (Meaningful Work) และสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน (Work-Life Balance) ซึ่งนำไปสู่ความผาสุกทางจิตใจ ความพึงพอใจในงาน และสุขภาวะที่ดีทั้งในระดับบุคคลและองค์กร โดยนอกจากการช่วยให้พนักงานทำงานอย่างมีความหมาย สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเติบโตทั้งในระดับบุคคลและองค์กรแล้ว แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับ Inner Development Goals (IDG) ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพภายในของบุคคลเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน โดย IDG มุ่งเน้นการพัฒนาใน 5 มิติหลัก ได้แก่ Being (การเข้าใจตนเองและพัฒนาสติ) Thinking (การคิดเชิงสร้างสรรค์และวิเคราะห์) Relating (การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี) Collaborating (การทำงานเป็นทีม) และ Acting (การลงมือทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง)

 

แม้ว่าสุขภาวะทางปัญญาจะเป็นเรื่องของจิตใจและความรู้สึกภายใน แต่สามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกฝน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะทางปัญญาจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงาน ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ และก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้

 


ประสบการณ์การดำเนินงานเรื่องสุขภาวะทางปัญญาในองค์กร

 

ช่วงแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานเรื่องสุขภาวะทางปัญญาในองค์กร  ได้รับเกียรติจาก คุณบุญช่วย ประสิทธิ์สัมฤทธิ์  ผู้บริหารบริษัท ไทยประสิทธิ์เท็กซ์ไทล์ จำกัด  คุณเกศยา ชัยชาญชีพ  กรรมการบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และคุณพิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ  ผู้อำนวยการโรงพยาบาล พระจอมเกล้า เพชรบุรี มาร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์การสร้างสุขภาวะทางปัญญาในองค์กร  ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี แต่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง เพราะองค์กรเหล่านี้ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าการดูแลจิตใจ และสภาะภายในของพนักงาน สามารถส่งผลต่อความสุข ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนขององค์กรโดยรวม

 

ตัวอย่างแนวปฏิบัติจากองค์กรที่ได้นำสุขภาวะทางปัญญามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการทำงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

 

กรณีศึกษา 1: บริษัท ไทยประสิทธิ์เท็กซ์ไทล์ จำกัด ให้ความสำคัญกับ สุขภาวะทางปัญญา (Spiritual Health in Organization) โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้าง สติและสมาธิในองค์กร เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถเผชิญกับความท้าทายในการทำงานได้อย่างมีสติและมีสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งองค์กรได้ออกแบบกิจกรรมและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญาในที่ทำงาน

 

กรณีศึกษา 2: บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำแนวคิด สุขภาวะทางปัญญา มาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายองค์กร โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต (สุขภาพแข็งแรง จิตใจดีงาม) เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับ สุขภาวะของพนักงาน โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของบุคลากร แนวทางที่องค์กรใช้ประกอบด้วยการส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขและสามารถดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาแรงบันดาลใจและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนกัน

 

กรณีศึกษา 3: โรงพยาบาลพระจอมเกล้า เพชรบุรี มุ่งมั่นในการสร้าง “องค์กรแห่งความสุข” โดยให้ความสำคัญกับสุขภาวะของบุคลากรควบคู่ไปกับการบริการผู้ป่วย ภายใต้แนวคิดที่ว่า “คนที่มีสุขภาวะดี ย่อมสามารถดูแลผู้อื่นได้ดีขึ้น” แนวทางนี้เน้น สุขภาวะองค์รวม ที่เชื่อมโยงทั้งกาย ใจ ปัญญา และสังคมเข้าด้วยกัน โรงพยาบาลจึงไม่เพียงให้ความสำคัญกับคุณภาพของการรักษา แต่ยังส่งเสริมให้บุคลากรมีความสมดุลทางอารมณ์ และสามารถปฏิบัติงานด้วยความสุขและเมตตา

 

แม้ว่าทั้ง 3 องค์กรจะดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน แต่แนวทางที่ใช้ในการส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญา มีจุดร่วมที่สำคัญ ได้แก่

 

  • การให้ความสำคัญกับสุขภาวะทางปัญญา เพื่อช่วยให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ

  • การบูรณาการสุขภาวะทางปัญญาเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร ผ่านกิจกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละองค์กร

  • การออกแบบกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง เช่น การฝึกสติ การฟังอย่างลึกซึ้ง และการเช็คอินอารมณ์

  • การเข้าร่วมโครงการ Happy Growth เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กิจกรรมพัฒนาสุขภาวะทางปัญญา และนำไปพัฒนาแผนงานขององค์กรอย่างเป็นระบบ

 

สำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้นดำเนินงานด้านสุขภาวะทางปัญญา: จากแนวปฏิบัติของทั้ง 3 องค์กร การสร้างสุขภาวะทางปัญญาในองค์กรจำเป็นต้องเริ่มต้นจาก การสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนสุขภาวะทางปัญญา โดยให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาวะทางปัญญา ผ่านการสื่อสารที่ชัดเจนและการนำโดยผู้นำองค์กรที่เป็นต้นแบบ

 

จากนั้นองค์กรควร ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องได้ และสอดคล้องกับบริบทขององค์กร เช่น การฝึกสมาธิช่วงเช้า การสร้างพื้นที่ทำงานที่เอื้อต่อสุขภาวะ หรือการใช้กิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในองค์กร สุขภาวะทางปัญญาจะเกิดขึ้นได้จริงเมื่อพนักงาน มีส่วนร่วม ในการออกแบบและดำเนินโครงการ พร้อมทั้งส่งเสริมการสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication - NVC) เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน

 

องค์กรควรใช้เครื่องมือวัดผลที่เป็นรูปธรรม เช่น การสำรวจความผูกพันของพนักงาน (Engagement Survey) หรือการประเมินระดับความเครียด เพื่อให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้เหมาะสม และเพื่อให้แนวทางสุขภาวะทางปัญญายั่งยืน องค์กรควร สร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรอื่น ผ่านโครงการที่สนับสนุนสุขภาวะทางปัญญา เช่น Happy Growth และนำแนวคิด Inner Development Goals (IDG) มาปรับใช้ในการพัฒนาศักยภาพของพนักงานจากภายใน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับองค์กร และผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

โดยสรุปแล้ว สุขภาวะทางปัญญาไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี แต่เป็น ปัจจัยสำคัญที่หล่อเลี้ยงความสุขและความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว การสร้างสังคมการทำงานที่สมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพและความสุขของพนักงาน ต้องเริ่มจาก ความเข้าใจ ความตั้งใจจริง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย องค์กรที่ต้องการก้าวสู่ความยั่งยืนควรเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่จับต้องได้ พัฒนากิจกรรมให้สอดคล้องกับพนักงาน ใช้เครื่องมือวัดผลที่ชัดเจน และให้ผู้นำองค์กรเป็นต้นแบบในการเปลี่ยนแปลง แม้การเริ่มต้นอาจเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่หากดำเนินการอย่างต่อเนื่องและปรับให้เหมาะสมกับบริบทขององค์กร ย่อมนำไปสู่พนักงานที่มีสุขภาวะที่ดี องค์กรที่มีประสิทธิภาพ และสังคมการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

 


ผู้เขียน จณิน วัฒนปฤดา


Commentaires


Les commentaires sur ce post ne sont plus acceptés. Contactez le propriétaire pour plus d'informations.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page