T1-9 | เวิร์กชอป “เพียงกระซิบถาม: ทบทวนเท่าทันอคติทางวัฒนธรรมในใจตน”
- Jitwiwat
- May 4
- 2 min read
Updated: Aug 10
1 มี.ค. 68 18:00-20:00 น. เดอะ มิตร-ติ้ง รูม (The Mitr-ting room) ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : ผศ.ดร.ไอยเรศ บุญฤทธิ์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
นํากระบวนการ : ผศ.ดร.อัครา เมธาสุข, ผศ.ดร.กิตติ คงตุก และ รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศดรกุล ม.ธรรมศาสตร์,
ผศ.ดร.เสสินา นิ่มสุวรรณ์ ม.เกษตรศาสตร์ และ นิชาภา อินทะอุด ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร
ผู้ดําเนินรายการ : ผศ.ดร.ไอยเรศ บุญฤทธิ์
ณ ห้องเรียนวัฒนธรรม ครั้งหนึ่งเราเคย “เพียงกระซิบบอก” แต่ครั้งนี้เราขอ “เพียงกระซิบถาม”
ช่วยบอกหน่อยได้ไหม “ฉันรักเธอ” เพราะเหตุใด “ฉันเกลียดเธอ” เพราะเหตุใด “ฉันกลัวเธอ” เพราะเหตุใด “ฉันทำร้ายเธอ” เพราะเหตุใด อะไรหนอที่ทำให้เราเป็นเช่นนี้?
ชวนไขความคิด พินิจ-พิจารณา ทบทวน-เท่าทัน “อคติ” แค่ "เพียงกระซิบถาม" ร่วมค้นคำตอบกับ “ห้องเรียนวัฒนธรรม”
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
ในเวิร์กชอป “เพียงกระซิบถาม ทบทวน เท่าทัน อคติทางวัฒนธรรมในใจตน” ผู้เข้าร่วมได้รับการชวนสำรวจและเท่าทันอคติในใจตัวเอง ซึ่งอคติสามารถเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความรัก ความโกรธ ความกลัว และความเขลา โดยใช้หลักการของ Hebbian Theory ซึ่งอธิบายว่าหากเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นพร้อมกันจะเชื่อมโยงกันอย่างแข็งแกร่ง และหากเราสามารถสร้างอคติได้ตามกลไกนี้ เราก็สามารถย้อนกลับและควบคุมอคติได้เช่นกัน โดยมุ่งเน้นให้เราตระหนักรู้และไม่ปล่อยให้อคติส่งผลร้ายต่อผู้อื่น
กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการละลายพฤติกรรม ผ่านเกม Human Bingo ซึ่งผู้เข้าร่วมต้องถามคำถามจากแผ่นคำถามและเติมชื่อเพื่อนที่มีลักษณะตรงตามคำถาม หลังจากนั้นเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้เข้าร่วมเขียนความกังวลและแชร์ในกลุ่ม จากนั้นผู้เข้าร่วมได้สำรวจสิ่งของที่นำมาไว้บนโต๊ะ เช่น เครื่องแบบทหาร อุปกรณ์การพนัน และของต่าง ๆ จากนั้นมีการจับกลุ่มย่อยเพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้สึกดีหรือไม่ดี จากการสำรวจเหล่านี้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ว่าความรู้สึกแตกต่างกันขึ้นอยู่กับมุมมองและประสบการณ์ส่วนบุคคล ช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวงสังคม การเมือง และศาสนา ซึ่ง มีนัยยะเชื่อมโยงถึงอคติในสังคม ที่มีปฏิกิริยาหรือมีแรงสะท้อนกลับเหตุการณ์เหล่านั้น และยังชี้ให้เห็นถึงวงจรของอคติที่จะนำไปสู่การออกกฎหมายที่จะย้ำให้เกิดการผลิตซ้ำของอคตินั้นๆ และจบกิจกรรมด้วยการเชื้อเชิญให้ทุกทุกท่านให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมลงความเห็นเกี่ยวกับการจัดการอคติของตนด้วยคำถามที่ว่า “จะทำอย่างไรดีกับอคติที่อยู่ในใจตน”
การเสวนาและกิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการเท่าทันอคติในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องขจัดอคติออกไปทั้งหมด แต่ควรฝึกควบคุมการแสดงออกของอคติให้ไม่ทำร้ายคนอื่น ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญในการลดความขัดแย้งในสังคม และส่งเสริมให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยการเคารพความแตกต่างและลดการด่วนตัดสิน
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแสดงความสนใจและตั้งใจในการร่วมกิจกรรม และได้เรียนรู้การฝึกให้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง รู้ทันสมมุติฐานที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีต และสามารถเข้าใจมุมมองที่ต่างกันจากผู้เข้าร่วมอื่นๆ เพราะแต่ละคนก็มีมีประสบการณ์ที่ต่างกัน
ผลจากการเข้าร่วมกิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจการร่วมทุกข์และความหวังในการสร้างสังคมที่ดีขึ้น การมีสติเท่าทันตัวเองเมื่ออคติทำงานช่วยให้เรามีการตัดสินใจที่ดีและหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติหรือการทำร้ายผู้อื่น การร่วมมือในการเท่าทันอคติไม่เพียงแค่ช่วยลดความรุนแรง แต่ยังช่วยสร้างสุขภาวะทางปัญญาและจิตวิญญาณ โดยส่งเสริมการฟังและการเข้าใจผู้อื่นจากมุมมองที่หลากหลาย
การสำรวจตัวเอง ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจและเท่าทันอคติ ที่อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความรัก ความโกรธ ความกลัว และความเขลา ซึ่งการเท่าทันอคตินี้จะช่วยให้สามารถควบคุมและไม่ให้ส่งผลร้ายต่อผู้อื่น
การสำรวจอคติจากประสบการณ์ สามารถใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยอธิบายว่าสมองมนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยเซลล์ ที่ เมื่อมีสิ่งเร้าก็จะทำให้เกิดความเชื่อมโยงกันกับประสบการณ์เดิม แสดงให้เห็นว่าอคติเป็นกลไก ที่สามารถย้อนกลับได้ ซึ่งให้แนวทางในการจัดการกับอคติและลดการตัดสินผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย: กิจกรรมนี้ให้พื้นที่ปลอดภัยที่ผู้เข้าร่วมสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดเห็นโดยไม่ถูกตัดสิน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับความแตกต่างในสังคม
การใช้การเท่าทันอคติในชีวิตประจำวัน ทำห้ผู้เข้าร่วมรู้จักการเท่าทันอคติในทุกสถานการณ์ และพัฒนาความสามารถในการควบคุมการแสดงออกของอคติ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเคารพความแตกต่างในสังคมได้
“ความแตกต่างเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ควรอนุญาตให้เกิดความรุนแรงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน”
“เซลล์ที่ถูกกระตุ้นพร้อมกันบ่อยๆ จะเชื่อมโยงกัน แข็งแรงมากขึ้น”
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
สะท้อนความคิด ความรู้สึก ข้อค้นพบสำคัญ
แรงบันดาลใจสำคัญน่าจะมาจากการตระหนักถึงผลกระทบของอคติที่ฝังลึกอยู่ในสังคมและในตัวเราทุกคน ซึ่งมักนำไปสู่ความเข้าใจผิด การแบ่งแยก และความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นในระดับเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน หรือในระดับโครงสร้างสังคมที่ใหญ่ขึ้น อาจเห็นปรากฏการณ์นี้รอบตัว หรืออาจเคยมีประสบการณ์ตรงที่อคติส่งผลลบต่อความสัมพันธ์หรือโอกาส ในขณะที่ สิ่งที่พามาสู่การจัดประชุม/ห้องเรียนวัฒนธรรมนี้ อาจเป็นความเชื่อมั่นในพลังของการรู้เท่าทันตนเอง (Self-awareness) ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลง การสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ผู้คนจะได้สำรวจความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจเกี่ยวกับ "ความแตกต่าง" และ "ความเป็นอื่น" จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ชื่อกระบวนการ "เพียงกระซิบบอก" สะท้อนความเชื่อนี้ได้ดี เพราะอคติมักทำงานเงียบๆ ในระดับจิตใต้สำนึก เหมือนเสียงกระซิบที่อาจไม่ทันสังเกต การชวนให้ "หยุดฟัง" เสียงกระซิบนี้ คือการเริ่มต้นทำความเข้าใจรากเหง้าของมัน ดังนั้น ความสำคัญของการจัดงานนี้ คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่เปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น มันไม่ใช่แค่การจัดกิจกรรม แต่เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการตระหนักรู้และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของสันติภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม มันคือการตอบสนองต่อคุณค่าที่ยึดถือ เช่น ความเท่าเทียม ความยุติธรรม และความเป็นมนุษย์
“ห้องเรียนวัฒนธรรม” คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้สัมผัสและเรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม วัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมที่ออกแบบมา เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ ประเพณี ศิลปะ ภาษา และวิถีชีวิต ของแต่ละกลุ่มวัฒนธรรม ตลอดจนการเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมพัฒนาทักษะทางสังคม ลดอคติ และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยมีจุดเริ่มต้นจากการทบทวนตนเอง สู่การตั้งคำถามจาก สิ่งใกล้ตัว จนกระทั่งได้ขยายอาณาบริเวณความรู้สู่ความซับซ้อนที่ซ่อนเร้นอยู่ในสังคม ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญ ในการนำเอาองค์ความรู้ที่ตนเองมีมาแลกเปลี่ยน จนเกิดเป็นการทำงานในกลายภาคส่วน และเกิดเป็นเครือข่าย ที่สัมพันธ์กันทุกมิติไม่ว่าจะเป็นมิติทางความรู้ ความคิด จิตวิญญาณ และมิติของความสุขในชีวิต ภายใต้ ความร่วมมือและการสนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และเครือข่าย อาจารย์ นักวิชาการ และคนทำงานภาคประชาสังคมทั่วประเทศ ซึ่งกระบวนกรในการทำงานครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายของห้องเรียนวัฒนธรรมเช่นเดียวกัน
การออกแบบพื้นที่และกระบวนการเรียนรู้: “เพียงกระซิบถาม” เป็นหน่วยการเรียนรู้แรกในโมดูล การเรียนรู้ห้องเรียนวัฒนธรรม ที่ต้องการสร้างความเข้าใจอคติของตนเองและผู้อื่นที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน หากถามว่าทำไมต้องเพียงกระซิบถาม เรามองว่าเวลาที่เราพูดถึงอคติในสังคมหลายครั้งเราจะต้องกระซิบ ที่ต้องกระซิบเพราะอะไร เพราะบางทีพูดเสียงดังไป มันมีแรงกระแทกกลับมา บางทีเราก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งเราอยากให้ทุกคนได้มาคุยสิ่งที่เรามีอยู่ในตัวเองอย่างจริงจังด้วย อาจจะมีหลายอย่างที่บางทีเราอาจจะถูกเพื่อนตัดสินง่ายๆ เหมือนกับว่าเธอมีอคติกับเราหรือเปล่านะ หรือเราเองก็มีอคติและกำลังตัดสินตัวเองด้วยว่าเราไม่น่าจะพูดแบบนั้นเลย หรือหากเราไปพูดต่อหน้าอาจทำให้ปัญหาและเกิดความรุนแรงได้ ดังนั้นในการเริ่มต้นอาจต้องเริ่มจากการค่อยๆ กระซิบถามก่อน จึงเกิดเป็น concept ในการออกแบบกระบวนการที่ว่า “เมื่อเรากระซิบถาม กระบวนกรทั้งห้าคนจะเป็นคนที่คอยรับฟัง คอยมอง คอยสื่อสารให้ ดังนั้น อวัยวะต่างๆ จะประกอบร่างกันเป็นกระบวนกร” เพื่อที่ผู้เข้าร่วมจะได้วิเคราะห์อคติและการประกอบสร้างอคติในมิติต่างๆ อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้ ไม่ได้จุดมุ่งหมายเพื่อที่จะลดอคติหรือประเมินค่าอคติ เพียงแต่จะชวนให้ผู้เข้าร่วมได้ทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง ผ่านการชมสิ่งของต่างๆ ที่กระบวนกรเป็นผู้จัดวางไว้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทบทวน เชื่อมโยงประสบการณ์ และเท่าทันอคติของตนเอง
ห้องย่อยเพียงกระซิบถาม จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับการประสานงานและดูแลอย่างดีจากพี่เหน่ง ตัวแทนจากจิตวิวัฒน์ ที่คอยประสานการดำเนินงานล่วงหน้าแรมเดือน ตั้งแต่รายละเอียดการจัดเตรียมข้อมูลประชาสัมพันธ์ การอำนวยความสะดวกเรื่องห้องจัดกระบวนการ วัสดุอุปกรณ์สำหรับการทำกระบวนการ ตลอดจนการประสานลงทะเบียนผู้เข้าร่วม ซึ่งทำให้เราได้ข้อมูลที่ชัดเจน เพียงพอ เพื่อจัดเตรียมกระบวนการ และกิจกรรมที่เหมาะสมกับจำนวน ความแตกต่างหลากหลายทั้งช่วยวัยและบริบททางอาชีพของผู้เข้าร่วม ซึ่งส่งผลให้การนัดหมายประชุมกระบวนกร และกระบวนการในลำดับถัดมา เป็นไปได้อย่างราบรื่น และที่สำคัญต้องขอขอบคุณทีมกระบวนกรที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง
สิ่งที่สามารถสังเกตได้จากกิจกรรมในวันนั้นคือ การมองเห็นวงสนทนาที่ผู้คนโน้มตัวเข้าหากัน สบตากัน มีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และแววตาครุ่นคิด บางคนอาจมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อค้นพบบางอย่างในตัวเอง บางคนพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อฟังเพื่อนร่วมกลุ่มแบ่งปัน เราเห็นความหลากหลายของผู้เข้าร่วม แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นสายใยบางๆ ที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันในฐานะมนุษย์ที่กำลังเรียนรู้ เกิดเสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนที่ดังขึ้น เป็นระยะๆ เสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงความเงียบที่เข้ามาเมื่อผู้คนกำลังจมอยู่กับความคิดหรือฟังอย่างตั้งใจ เสียงของกระบวนกรที่นำพากิจกรรมอย่างนุ่มนวล และอาจมีเสียงกระดาษปากกาขีดเขียน เมื่อมีการจดบันทึก
บรรยากาศเต็มไปด้วยความ เปิดกว้าง ปลอดภัย และไว้วางใจ แม้จะพูดคุยในประเด็นที่อาจจะละเอียดอ่อน แต่ผู้คนรู้สึกสบายใจที่จะแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกของตนเอง มีพลังของความอยากรู้อยากเห็นและความตั้งใจที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน หน้าตาและความรู้สึกของผู้คน (ที่สังเกตได้): มีความตื่นตัว สนใจ ใคร่รู้ บางคนอาจดูผ่อนคลาย บางคนอาจดูมุ่งมั่นตั้งใจ มีโมเมนต์ของ "อ๋อ!" หรือ "เออ จริงด้วย" ปรากฏบนใบหน้า แสดงถึงการเกิดความเข้าใจใหม่ๆ พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ได้รับการยอมรับ และรู้สึกว่าเสียงของตัวเองมีความหมาย
ในท้ายที่สุด คุณค่าและความหมายที่เกิดขึ้น คือการได้ ยืนยันความเชื่อ ของเราว่ามนุษย์มีความสามารถ ที่จะเข้าใจตนเองและผู้อื่นได้ลึกซึ้งขึ้นเมื่อมีเงื่อนไขที่เหมาะสม และการทำงานด้านนี้มีความหมายและสร้างผลกระทบได้จริง มันคือการเติมพลังใจให้เราอยากทำงานนี้ต่อไป
สิ่งที่รู้สึกและสามารถสัมผัสได้คือ ผู้เข้าร่วมเกิด "ประกาย" ของการตระหนักรู้ เกี่ยวกับอคติของตนเอง มากขึ้น พวกเขาได้เครื่องมือหรือมุมมองใหม่ๆ ในการสังเกตความคิดและความรู้สึกของตัวเอง เรารู้สึกว่าเกิด บรรยากาศของความเข้าอกเข้าใจ และการยอมรับความแตกต่างในกลุ่มผู้เข้าร่วม และอาจเกิดแรงบันดาลใจ ที่จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่คิดว่าความรู้สึกนั้นๆ เกิดขึ้นจริงๆ และสัมผัสได้ อาทิ การแสดงออกถึงการเรียนรู้ อาจมีการแบ่งปันในวงใหญ่ หรือการเขียนสะท้อน ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมได้ "ค้นพบ" หรือ "ตระหนัก" ถึงอคติบางอย่างในตัวเองที่ไม่เคยรู้มาก่อน ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก การที่ผู้คนหัวเราะด้วยกัน รับฟังกันอย่างตั้งใจ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยรวมแล้ว สิ่งที่รู้สึกและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงน่าจะสอดคล้องกันในแง่ของการสร้างการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมภายในห้องประชุม
หากความตั้งใจของการประชุมวิชาการครั้งนี้คือการสร้างความเข้าใจ การเชื่อมโยง หรือการหาทางออกให้กับประเด็นทางสังคม กิจกรรม "เพียงกระซิบบอก" ก็ได้ตอบโจทย์นั้นโดยตรง ด้วยการทำงานที่ต้นตอ คือ การรู้เท่าทันอคติในระดับปัจเจก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ จากกิจกรรมดังกล่าว พบว่า มนุษย์โหยหาพื้นที่ปลอดภัยในการสำรวจตนเองและเชื่อมต่อกับผู้อื่นอย่างมีความหมาย กระบวนการที่ออกแบบมาอย่างใส่ใจสามารถ กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ได้จริง เราพบพลังของ ความเปราะบางที่แบ่งปันกัน ซึ่งนำไปสู่ความไว้วางใจและความเข้าใจ
นอกจากนี้ ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับการเปิดเผย เชื่อมโยง และ เสริมพลัง ถือเป็นเรื่องราวการเดินทางส่วนตัวของผู้เข้าร่วมแต่ละคนในการเผชิญหน้ากับ เสียงกระซิบภายในใจ หน้าตา เสียง บรรยากาศ ได้สะท้อนความจริงจัง ความสนุกสนาน และความลึกซึ้งของการเรียนรู้ พลังงานโดยรวมเป็นบวก มีชีวิตชีวา และมีความหวังทั้งหมดนี้ ทั้งกระบวนการได้ค้นพบจุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ คือ การที่คนคนหนึ่งเริ่มตระหนักและตั้งคำถามกับอคติของตนเอง คือก้าวแรกของสันติภาพภายในใจ ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีที่เขาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และเมื่อหลายคนทำเช่นนี้ มันย่อมส่งผลต่อสันติภาพในระดับที่กว้างขึ้น เราอาจไม่ได้สร้างสันติภาพของสังคมให้เกิดขึ้นทันทีในวันนั้น แต่เราได้ หว่านเมล็ดพันธุ์และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนเดินบนเส้นทางนั้น
อย่างไรก็ตาม การสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์ที่เชื่อมโยงกัน การได้เห็นความพยายาม ความเปิดใจ และความเปราะบางของผู้อื่น ทำให้สัมผัสถึงแก่นแท้หรือจิตวิญญาณ ที่คล้ายคลึงกันภายใต้ความแตกต่างภายนอก และได้เชื่อมโยงกับส่วนลึกในตัวเองที่ปรารถนาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีงาม สุดท้ายนี้ การพบความหวังในความสามารถของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง พบความหวังในพลังของกระบวนการกลุ่มและการสนทนา
อย่างมีความหมาย พบความหวังว่า การทำงานเล็กๆ เช่นนี้ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆ สู่จุดที่ใหญ่ใหญ่ขึ้นได้ และความหวังที่จะได้เห็นผู้เข้าร่วมนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปสานต่อ
ดังนั้น กิจกรรมที่ได้จัดตอกย้ำความเชื่อมั่น ทำให้ยิ่งเชื่อมั่นในแนวทางและกระบวนการที่ใช้ ว่ามันสามารถสร้างการเรียนรู้ที่ทรงพลังได้จริง อีกทั้งเพิ่มพูนประสบการณ์และความมั่นใจ การจัดงานที่ผู้เข้าร่วมมีส่วนร่วมสูงและได้ผลตอบรับดี ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการเป็นผู้นำกระบวนการและผู้จัดงาน นอกจากนี้ ยังเกิดแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่น ความสำเร็จในการสร้างพื้นที่เรียนรู้และความเชื่อมโยง ทำให้มีพลังและอยากที่จะทำงานด้านนี้ต่อไปให้กว้างขวางหรือลึกซึ้งยิ่งขึ้น
อนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการจัดกิจกรรมยิ่งทำให้ตระหนักถึงอคติของตนเองมากขึ้น การนำกระบวนการนี้อาจทำให้เรากลับมาทบทวนอคติของตัวเองในมุมมองใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน สุดท้าย การรู้สึกเติมเต็มและมีความหมาย การได้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการทำงาน ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมีคุณค่าและตอบโจทย์เป้าหมายส่วนตัวหรือคุณค่าที่ยึดถือ
มิติการพัฒนาและต่อยอด สามารถนำบทเรียนจาก "เพียงกระซิบบอก" ไปปรับปรุงและพัฒนาเป็นกิจกรรม/หลักสูตรที่ต่อเนื่อง หรือลงลึกในประเด็นเฉพาะมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งปันองค์ความรู้ เผยแพร่แนวคิดและกระบวนการนี้ให้กับองค์กรหรือชุมชนอื่นๆ ที่สนใจ เพื่อขยายผล ให้ความสำคัญกับพื้นที่ปลอดภัย เน้นย้ำความสำคัญของการสร้างบรรยากาศที่ไว้วางใจและไม่ตัดสิน ในทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การสำรวจตนเองหรือประเด็นละเอียดอ่อน
สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถนำไปปฏิบัติ สนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมนำการ "ฟังเสียงกระซิบ" หรือการรู้เท่าทันอคติไปใช้สังเกตตนเองในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่องมีเวทีที่ชวนให้ผู้เข้าร่วมแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้กับคนรอบข้าง เพื่อสร้างวงสนทนาที่กว้างขึ้นหรือส่งเสริมให้มีการนำกระบวนการเรียนรู้เชิงประสบการณ์เช่นนี้เข้าไปในหลักสูตรการศึกษา การอบรมบุคลากร หรือกิจกรรมพัฒนาองค์กร สนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมที่ยอมรับ ความแตกต่างหลากหลาย และมีการพูดคุยเรื่องอคติได้อย่างสร้างสรรค์ ส่งเสริมการรับฟังอย่างลึกซึ้ง รณรงค์ให้สังคมให้ความสำคัญกับการฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่แค่ฟังเพื่อโต้ตอบ















Comments