top of page

T1-7 | เสวนาอ่างปลา และเวิร์กชอป “การพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีจิตวิญญาณเพื่อรับมือและบรรเทาปัญหาโลกเดือด CLIMATE ACTION AND POLICY WITH SPIRITUALITY (CAPS)”

Updated: May 24

1 มี.ค. 68  10:00-12:00 น.  ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ : ผศ.ดร.อรอร ภู่เจริญ ผู้อํานวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่

นํากิจกรรม : ผศ.ดร.อรอร ภู่เจริญ และ จามีกร อํานาจผูก สถาบันนโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่


ร่วมกันสำรวจแนวทางใหม่ของการจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน โดยผสานมิติจิตวิญญาณเข้ากับเครื่องมือทางนโยบายและอนาคตศาสตร์ ผ่านการทำงานร่วมกันในชุมชนคนทำงานที่มีความหลากหลาย จากผลการดำเนินโครงการ Climate Action and Policy with Spirituality (CAPS) ที่หลอมรวมพลังความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ สู่การออกแบบนโยบายที่เปลี่ยนจาก Ego Centric สู่ Eco Centric



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ


ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


ในเสวนาและเวิร์กชอป “การพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีจิตวิญญาณเพื่อรับมือและบรรเทาปัญหาโลกเดือด” (Climate Action and Policy with Spirituality, CAPS) ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้วิธีการสร้างนโยบายที่ใช้จิตวิญญาณเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน โดยการปรับมุมมองจากการคิดแบบ Ego Centric ไปสู่ Eco Centric ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ รวมถึงสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ผ่านการใช้ความรักเป็นพื้นฐานในการสร้างนโยบายที่ตอบสนองต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสร้างความเข้าใจร่วมกัน

 

กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการฝึกสมาธิเพื่อเชื่อมโยงพลังงานของผู้เข้าร่วม โดยมีการขับกล่อมเพลงแนวมายันและปรุงเครื่องดื่มคาเคา (cacao) ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ จากนั้นผู้เข้าร่วมได้เขียนและวาดรูปสรรพสิ่ง ซึ่งรวมถึงสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์ และนำภาพเหล่านั้นมาวางรอบกองไฟเพื่อรับรู้ถึงการตั้งอยู่ (existence) ของสิ่งเหล่านั้น การกระทำนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมตั้งสติและเข้าใจถึงความสำคัญของการฟังเสียงจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

การประชุมสมัชชานักปราชญ์แห่งสรรพสิ่งใช้กระบวนการ role play โดยผู้เข้าร่วมสวมบทบาทของสิ่งที่วาดขึ้นเพื่ออธิบายความรู้สึกและความท้าทายที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้มองเห็นและฟังจากหลากหลายมุมมองที่ไม่จำกัดแค่การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์หรือเทคนิคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการรับรู้ถึงความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์และโลก

 

การเสวนานี้ทำให้ผู้เข้าร่วมตระหนักถึงความสำคัญของการฟังเสียงของสรรพสิ่ง ผ่านพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งทำให้การตัดสินใจทางนโยบายไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังคำนึงถึงความเชื่อมโยงระหว่างชีวิตทั้งหมด การร่วมทุกข์และความหวังในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนช่วยส่งเสริมการร่วมมือที่มีมิติจิตวิญญาณ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถขับเคลื่อนการพัฒนานโยบายในระดับสังคมและโลกได้

 

การพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีจิตวิญญาณเน้นการเปลี่ยนแปลงจากการคิดแบบ Ego Centric ไปสู่ Eco Centric โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ พร้อมทั้งการรับฟังเสียงจากสรรพสิ่งและธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์ เพื่อให้เกิดการสร้างนโยบายที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงกับระบบนิเวศน์

 

การฝึกสมาธิและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การวาดภาพสรรพสิ่งและการใช้หน้ากากเพื่อสะท้อนถึงความเชื่อมโยงและความสำคัญของการฟังเสียงจากธรรมชาติ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมตั้งสติและเปิดรับมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับความท้าทายที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ

 

การประชุมสมัชชานักปราชญ์แห่งสรรพสิ่งใช้กระบวนการ role play เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิดการรับรู้ถึงปัญหาที่สรรพสิ่งต้องเผชิญ ซึ่งช่วยให้มองปัญหาในเชิงลึกมากขึ้น

เสวนานี้เน้นการร่วมทุกข์และความหวังในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน โดยการฟังและร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มีจิตวิญญาณและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบในระดับสังคมและโลก

 

การใช้กระบวนทัศน์ที่มีมิติจิตวิญญาณในการแก้ปัญหาโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้เป็นแค่การพัฒนาทางเทคนิค แต่ยังเป็นการสร้างพื้นที่ให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในการขับเคลื่อนนโยบายที่ยั่งยืนและสร้างความสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

 

“การออกแบบนโยบายสาธารณะด้วยมิติจิตวิญญาณจะใช้ความรักเป็นฐาน”



ผู้เขียน  ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68






บทสะท้อน | CAPS ในงาน Soul Connect Fest



ก่อนถึงวันงาน

 

1. แรงบันดาลใจในการทำงานนี้คืออะไร?

 

โครงการ “การพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีจิตวิญญาณเพื่อรับมือและบรรเทาปัญหาโลกเดือด (CAPS)” เริ่มจากคำถามว่า “โลกร้อนเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ หรือแท้จริงแล้วคือวิกฤติของจิตสำนึก?” เมื่อมนุษย์แยกตัวจากธรรมชาติผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และความรู้ที่เน้นกลไก เราจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องสร้างพื้นที่ให้จิตวิญญาณกลับมามีบทบาทในการออกแบบนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์นั้น — การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เพื่อให้ “นโยบาย” ไม่ใช่แค่คำสั่ง แต่เป็นเครื่องมือของความเข้าใจร่วมและการเยียวยาโลก ผ่านการเชื่อมผสานทั้งสองโลกที่ตัวผู้เขียนนั้นใช้ชีวิตมาด้วยกันโดยตลอดที่ผ่านมา นั่นก็คือ โลกของการทำงานด้านนโยบายสาธารณะในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโลกที่เราใช้ชีวิตที่มีความเชื่อ มีจิตวิญญาณ มีพิธีกรรมประกอบสร้างอันหลากหลายเข้าไว้เป็นโลกเดียวกัน

 


2. เราออกแบบพื้นที่การเรียนรู้อย่างไร และเพราะเหตุใดเราจึงเลือกเช่นนั้น?

 

เราออกแบบห้องย่อยให้เป็น “พิธีกรรม” แทนที่จะเป็นเวทีอภิปราย ด้วยกระบวนการที่เน้นการรับฟังลึก (deep listening) การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และการสะท้อนภายใน กิจกรรมหลักประกอบด้วยการทำหน้ากาก (Embodied Mask-Making) และพิธี Cacao Ceremony เพื่อเปิดใจและเชื่อมโยงกับตัวแทนธรรมชาติ ก่อนเข้าสู่ “สภาผู้แทนปราชญ์สรรพสิ่ง” ที่ผู้เข้าร่วมได้พูดแทนธรรมชาติในเวทีออกแบบนโยบาย เราเลือกแนวทางนี้เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงภายนอกจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายใน

 


3. อยากให้เล่าถึงความร่วมไม้ร่วมมือที่เราได้รับ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?

 

โครงการนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในวันงาน Soul Connect Fest ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก:

  • ผู้แทนจากกรมป่าไม้ และ กรมลดโลกร้อน

  • Thailand Climate Justice

  • ข้าราชการทั้งในระบบและผู้เกษียณอายุ

  • สหทัยมูลนิธิ และทีมเยียวยาจากเชียงใหม่

  • Thailand Policy Lab ซึ่งร่วมแลกเปลี่ยนในเวที

  • ผู้แทนจากชนเผ่าดั้งเดิมที่ทำงานกับพิธีกรรมและจิตวิญญาณ

  • และผู้เข้าร่วมอีกมากมายที่นำพาประสบการณ์หลากหลายมาร่วมสร้างกระบวนการอย่างลึกซึ้ง

 

และที่สำคัญเราได้รับ “การไว้วางใจ”จากคณะทำงานของศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ไม่เคยทิ้งห่างเราไปไหนไกลเลยจริงๆ

 


ในช่วงวันจัดงาน

 

4. ในห้องย่อยของเราวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

 

ห้องของเรากลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนได้สะท้อนความสัมพันธ์ของตนกับธรรมชาติ ผ่านบทบาทที่เชื่อมโยงกับตัวแทนธรรมชาติ กระบวนการดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง — ไม่ใช่เพราะเสียงดัง แต่เพราะทุกเสียงได้รับการรับฟังอย่างแท้จริง เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมหลายคนบอกว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้แลกเปลี่ยนอย่างเป็นธรรมชาติ” และรู้สึก “ประทับใจในความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม”

 

ผู้เข้าร่วมยังให้คะแนนความพึงพอใจในประสบการณ์โดยรวมอยู่ในระดับ “มาก” ถึง “มากที่สุด” โดยเฉพาะประเด็น:

  • เข้าใจธรรมชาติและจิตวิญญาณของสังคม (4.44/5.00)

  • เห็นความหวังจากสันติภายในสู่สังคม (4.44/5.00)

  • ได้เครื่องมือดูแลตนเองและผู้อื่น (4.33/5.00)

 

นอกเหนือไปจากนั้น ก็ยังได้เห็นถึง “สภาวะ” ที่หลากหลาย ที่ส่งผ่านมาโดย เสียง โดยความรู้สึก แม้ไม่ได้พูดก็ตาม แต่เห็นได้จากภาพที่สะท้อนจากการทำหน้ากากของผู้คนเหล่านั้น

 


ผลที่เกิดขึ้นจากการจัดงาน

 

5. เรารู้สึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมีมุมมองใหม่อะไรจากการแลกเปลี่ยน?

 

ผลลัพธ์ที่เด่นชัดคือผู้เข้าร่วมเริ่ม “รู้สึก” กับนโยบายในแบบใหม่ หลายคนสะท้อนว่าได้รับมุมมองต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ลึกซึ้งขึ้น เสียงหนึ่งกล่าวว่า “ได้กลับมาตระหนักรู้ภายในตัวเองมากขึ้น และรับรู้ถึงความอ่อนไหวของตัวเองที่มีต่อเรื่องนี้” เราเองก็ได้เรียนรู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระดับระบบ โครงสร้าง ไปจนถึงวาทกรรมและ narrative ที่อาจารย์อรอร ได้กล่าวถึงในตอนต้นก่อนที่จะเริ่มพิธีนั้น ต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่ให้จิตวิญญาณมีบทบาทจริงๆ ในการฟังและออกแบบ


 

6. สิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงกับธีมงานประชุมวิชาการครั้งนี้ หรือไม่ อย่างไร?

 

สิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงโดยตรงกับธีม “จากสันติภายในใจสู่สันติภาพของสังคม” และ “จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ ความหวัง” ห้องของเราทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางที่เชื่อมโยงผู้คน ความเงียบ ความเปราะบาง และความหวังกับวิกฤตของโลกใบนี้ ให้มารวมกัน โดยมีจุดร่วมคือการเปิดใจและกลับมา “ฟัง” ไม่ใช่แค่ผู้อื่น แต่ฟังธรรมชาติและตัวเองด้วย เช่นนั้นคงเรียกได้ว่า เป็นสันติภายในใจสู่สันติภาพของสังคมอย่างแท้จริง

 


7. สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลต่อตัวเรา หรือคนอื่นๆ อย่างไร?

 

ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่า “มุมมองต่อตัวเองเปลี่ยนไป” และ “เชื่อมั่นในพลังจิตวิญญาณมากขึ้น” บางคนอยากเห็นรูปแบบพิธีกรรมเช่นนี้จัดต่อเนื่องในอนาคต เพราะทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นจริง เราเองในฐานะผู้นำกระบวนการก็ได้เรียนรู้ว่าการออกแบบพื้นที่ปลอดภัยที่โอบรับทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และเสียงของธรรมชาติ เป็นรากฐานสำคัญของนโยบายที่มีหัวใจ ทั้งยังเป็นการย้ำเน้น เป็นการคอนเฟริมในสิ่งที่เรานั้นดำเนินมาโดยตลอด มันมีผลต่อหัวใจของเราผู้จัดเป็นอย่างยิ่ง

 


7.1 การเปลี่ยนแปลงภายในของผู้เขียน: “วางใจ” – จากคำธรรมดาสู่การเรียนรู้ที่ไม่ธรรมดา

 

เบสท์ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง บางเรื่อง อาจจะเป็นหัวข้อซ้ำๆ เดิมๆ ในชีวิต แต่สิ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงภายในไปอีกขั้นของคำว่า "วางใจ"

 

สองคำสั้นๆ แต่สื่อความหมายได้ล้ำลึกเป็นอย่างมาก วางใจต่อสถานการณ์ที่ทำงานร่วมกับทีมงานไม่พอ ต้องยังทำงานไปถึงระดับลึกของแก่นจิตวิญญาณของเหล่าทีมงานอย่างแท้จริง เราจะ"ตัดสิน" อะไรที่มองเห็นโดยตาเนื้อที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย หากไม่ได้เข้าไป "ฟัง" เสียงภายในที่อยู่ภายในเรา และในเขาอย่าง "เข้า-ใจ" จริงๆ

 

และท้ายที่สุดการวางใจก็จะนำพาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี และดียิ่งขึ้น ตลอดจนคาดไม่ถึงก็เป็นได้

 

เรื่องขำขันนั้นก็มีเลย จากการไม่วางใจ หรือวางใจไม่เพียงพอ เช่น เราเตรียมต้ม Cacao ล่วงหน้า เพราะจัด session เช้า และกังวลว่ามันจะบูดไหม เลยนำมาเก็บไว้ในห้องที่มีความเย็นหน่อย แต่นั่นก็ยังไม่พีค และเกิดปัญหาในช่วงพิธีกรรม ปรากฎว่าเราเท Cacao เตรียมไว้ในแก้ว ด้วยปริมาณที่ไม่เยอะ+กับแอร์เย็นๆ ทำให้ Cacao นั้นแข็งตัว จนไม่สามารถยกดื่มได้ตามแผน จังหว่ะนั้นเราก็แอบขำในใจ จนปล่อยวาง วางใจ ว่าอะไรจะเกิดก็ตามนั้น จนเรากับพี่พลอย ที่เป็นผู้นำพิธีรรม มองหน้ากัน แล้วก็หันไปบอกกับทุกคนว่า "ถ้าดื่มไม่ได้ งั้นใช้นิ้ว ที่เป็นช้อนศักสิทธิ์ ที่ถูกสร้างมา ควักขึ้นมากินไปเลยค่ะ" แล้วทุกคนก็พลอยขำ ก๊าก ไปเลย 555 ทำให้บรรยากาศดูเป็นกันเองขึ้นไปด้วย หนำซ้ำ ยังเชื้อเชิญให้ผู้คนนั้นตกผลึกได้ว่า จริงๆแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมีพิธีการ เป็นพิธีรีตองใดๆมากเลยก็ได้ หากแต่จะเข้าไปสู่แก่นของมันเลยก็แค่นั้น

 

นี่แหละครับตัวอย่างผลลัพธ์ของการวางใจ

 


8. เรามีข้อเสนอแนะสำคัญต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องและสังคมอย่างไรบ้าง?

 

หากเราต้องการนโยบายที่มีชีวิต เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดต่อกระบวนการมีส่วนร่วม

เราขอเสนอให้รัฐและผู้มีอำนาจในการออกแบบนโยบาย ลองเปิดพื้นที่ให้ “พิธีกรรม” ได้มีที่ยืนควบคู่กับ “พิธีการ” ซึ่งสามารถทำความเข้าใจในความต่างระหว่างแก่นของ พิธีกรรม และพิธีการ ดังนี้

 


  • ส่งเสริมการใช้กิจกรรมเชิง embodied เช่น การทำหน้ากาก เพื่อให้ผู้คน “รู้สึก” และ “สวมการเป็น” ตัวแทนธรรมชาติก่อนการตัดสินใจ

  • สนับสนุนเวทีที่เชื่อมโยง ศาสตร์ ความรู้ดั้งเดิม จิตวิญญาณ และภาคนโยบาย

  • เปิดโอกาสให้ เจ้าหน้าที่รัฐ ได้ทดลองฟังเสียงธรรมชาติในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจลึกกว่าข้อมูลเชิงสถิติ

  • พัฒนารูปแบบ การประเมินผลกระทบของนโยบาย ที่รวมมิติจิตสำนึกและประสบการณ์ภายใน

 

ในส่วนของเราเอง ตั้งใจจะสานต่อกระบวนการเหล่านี้ในระดับท้องถิ่น และร่วมมือกับองค์กรหรือชุมชนที่สนใจทดลองใช้กระบวนการ CAPS (ขออนุญาตแอบเรียกชื่อนี้ก่อน อิอิ)

 

เรายินดีเป็นผู้ร่วมสร้าง วงสนทนา พิธีกรรม และเครื่องมือที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณกับนโยบาย

เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นได้อย่างมีความหมายในทุกระดับ

 

 

ผู้เขียน จามีกร อำนาจผูก (เบสท์)

Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page