top of page

T1-6 | เวิร์กชอป “ประเทศไทย พื้นที่อภัยทาน โอเอซิสในโลก”

Updated: Aug 10

1 มี.ค. 68  10:00-12:00 น.  ห้องประชุมชั้น 11 โรงแรมทริปเปิ้ลวาย สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ :  รศ.ดร.มารค ตามไท ห้องปฏิบัติการศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ สาขาวิชาสันติศึกษา ม.พายัพ

นำกิจกรรม :  รศ.ดร.มารค ตามไท และ ดร.วิลชนา โมพัดตามไท


เมื่อเขตอภัยทานไม่ได้อยู่แค่ที่วัด แต่คือทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย ที่เป็นเหมือนโอเอซิสที่ชุบชูใจนักเดินทางให้อยากกลับมาเยือน พบการสาธิตวิธีปฏิบัติอภัยทานเพื่อยกเลิกการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดสันติภายในใจตนเองและสังคม ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการเรื่อง "ผลสัมฤทธิ์การใช้กระบวนการสร้างสันติในตนเองด้วยอภัยทานเชิงพุทธบูรณาการ" ของ ดร.วิลชนา โมพัดตามไท



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ




ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม




สรุปใจความสำคัญ


นำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “อภัยทาน” ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งในความ สัมพันธ์ และความขัดแย้งในตัวเราเอง ซึ่งสามารถสะท้อนไปสู่รากฐานของคุณภาพด้านนี้ในสังคมไทย  เจตนาสำคัญของการทำงานนี้ก็เพื่อการกลับมารู้จักภายในตัวเองผ่านการให้อภัย  กล่าวคือ เป็นการทำงานภายในของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่โยนใส่ความคาดหวังไปที่คนอื่น

 

ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางสันติภาพโลกได้หรือไม่

 

นี่เป็นคำถามใหญ่ในใจของผู้มีวิสัยทัศน์ของสังคมไทยมานานแล้ว   อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ในประเทศไทยยังบ่งบอกว่าการให้อภัยทานยังบกพร่องอยู่ ดังกรณีตากใบเมื่อหลายปีก่อน  รวมถึงว่าใจคนอาจยังคับแคบและไม่เปิดกว้างพอที่จะตั้งใจให้อภัยกันจริง ๆ  กระนั้น  สังคมไทยก็เป็นสังคมที่มีต้นทุนเรื่องน้ำใจอยู่ไม่น้อย ดังเสียงสะท้อนของชาวต่างชาติที่มาเมืองไทย  เรายังต้องศึกษาเพิ่มเติมว่า น้ำใจคนไทยมาจากไหน  สังคมไทยมีธารน้ำใต้ดินที่คอยหล่อเลี้ยงผิวดินที่แห้งแล้งเสมือนเป็นโอเอซิสในทะเลทราย ที่สามารถเป็นที่ชุบใจให้กับโลกและเป็นความหวังให้กับมวลมนุษย์ได้ ใช่หรือไม่และอย่างไร 

 

ผู้วิจัยได้ออกแบบกระบวนการศึกษาอย่างรัดกุมด้วยแนวทางของ Action Research  ลงศึกษาในกลุ่มชาวบ้านกว่า 50 ครอบครัว เสริมด้วยการทบทวนความหมายเรื่อง อภัย และ อภัยทาน ตามหลักพุทธธรรม แนวคิดเรื่องการเป็นโอเอซิสหรือแหล่งของสันติภายในของมนุษยชาติ ร่วมกับประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับความขัดแย้ง สันติภาวะ และการให้อภัยในตัวผู้วิจัยเอง   ส่วนในระหว่างกระบวนการนำเสนอ ผู้วิจัยได้บรรยาย ยกตัวอย่างและเล่านิทานประกอบ รวมถึงยกบางกรณีขึ้นมาแบ่งปัน  มีการฝึกสติและสมาธิ เชื่อมโยงไปสู่ความเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอภัยทาน  อีกทั้งได้สาธิตการทำอภัยทานเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้มีประสบการณ์ตรงด้วย

 

  • อภัยทาน สื่อถึงการมีเจตนาละเว้น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และมีนัยของการสละให้อยู่ในนั้น

  • เงื่อนไขสำคัญของการทำอภัยทาน คือต้องมีสติ (การรู้ตัว) และสมาธิ (การจดจ่อได้) เป็นองค์ประกอบ

  • ตอนลงทำวิจัยกับชาวบ้าน สิ่งแรกที่ต้องมีร่วมกันคือความไว้วางใจ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัย  ขณะปฏิบัติการ ชาวบ้านบางคนกลัว ไม่กล้า บางคนโกรธ ไม่พอใจ  แต่สิ่งสำคัญในตอนนั้นคือการเปิดใจยอมรับและไม่คาดหวังจากอีกฝ่าย 

  • ปฏิกิริยาทางกายที่พบได้อย่างเด่นชัด ได้แก่ การจับมือ และการกอด ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับทฤษฎีทางชีววิทยาที่ชี้ว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องการการสัมผัสกาย จึงจะเกิดความรู้สึกผูกพันและอยู่รอดได้

  • ผลการวิจัยชี้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในสามมิติคือ อารมณ์ ทัศนคติ และความสัมพันธ์ โดยทั้งหมดตั้งต้นจากตนเอง  แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติจากการที่ได้ฝึกสติ สมาธิ และรับฟังเรื่องเล่า  เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การมีน้ำใจต่อผู้อื่น

 

“จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การเห็นความทุกข์ในตัวเองที่มากล้น

และทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จนนำมาสู่การปลดปล่อยตัวเองออกจากความทุกข์นั้น

ยอมเปลี่ยนทัศนคติจากการมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ มาเป็นผู้สละให้ด้วยความเต็มใจ”

 

อภัยทานคือการไม่เบียดเบียนกันและกัน เป็นการตั้งเจตนาที่จะละเว้นเพื่อผู้อื่น ทั้งด้านการคิด พูด และทำ น้ำใจของคนไทยที่มีให้ต่อโลกเปรียบเสมือนน้ำในโอเอซิสกลางทะเลทราย มันมีวันเหือดแห้งได้  แต่วิธีของการให้อภัยทานจะช่วยรักษาธารน้ำนี้ไว้ไม่ให้แห้ง   อนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์บ่มเพาะสันติภายในให้กับนานาชาติ เป็นโอเอซิสของโลกในเรื่องของอภัยทาน

 

การร่วมทุกข์อาจเป็นไปได้ด้วยการอาศัยความเมตตาและความจริงใจต่อกัน  การหันมามองหน้ากัน สบตากัน สัมผัสกายซึ่งกันและกัน เหล่านี้ย่อมช่วยทลายกำแพงที่ขวางกั้นอยู่ในใจของกันและกันลงได้  จากนั้น กระบวน การที่มีชัดเจนในการลดละอัตตา ควบคู่กับการฝึกสติและสมาธิ จะช่วยนำพาสันติภาวะให้เกิดขึ้น เป็นการออกจากความทุกข์ที่เราเคยยึดติด  และด้วยการมีสันติภาวะในตัวเองเช่นนี้ เราถึงนำพาสันติภาวะไปสู่ผู้อื่นได้ต่อไป

 

การมีมุมมองต่ออภัยทานอย่างลึกซึ้ง มองการให้อภัยทานผ่านการปล่อยวางของตัวเราเองเป็นหลัก หาใช่การรอคอยให้อีกฝ่ายต้องยอมรับในคำขออภัยของเราไม่ เพียงแค่เราวางความรู้สึกที่ติดค้างทั้งหลายลงพร้อมกับการให้อภัยทาน เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตวิญญาณของกันและกันงอกงามขึ้นได้

 

เมื่อการให้อภัยทาน มาจากความเนื้อเป็นตัวของตัวเราเองก่อน  เมื่อเราทำมันเองด้วยหัวใจของเรา

เมื่อนั้นการให้อภัยของเราจะจริงแท้และมีพลัง  สังคมก็จะรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่นั้น



ผู้เขียน  ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68





บทสะท้อนจากเจ้าภาพห้องประชุมย่อย ประเทศไทย พื้นที่อภัยทาน โอเอซิสในโลก


ในการสะท้อนเกี่ยวกับการจัดห้องย่อยจำเป็นต้องอธิบายก่อนว่าห้องย่อยนี้ได้นำเสนอและมีกิจกรรมอะไรบ้างเพื่อที่จะเข้าใจการสะท้อนในประเด็นต่างๆ จึงขอเริ่มด้วยการอธิบายการดำเนินการในห้องย่อย

 

การนำเสนอในห้องย่อย ห้องย่อยเราเริ่มด้วยคำถามว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสันติภาพโลกได้หรือไม่อย่างไร และจบที่ข้อเสนอ ให้ประเทศไทยมีการกำหนดวันอภัยทานประจำปี ตรรกในการโยงคำถามแรกไปสู่ข้อเสนอสุดท้ายเป็นดังนี้


ประเทศไทย โอเอซีสในโลก   


เมื่อประมาณ 25 ปีก่อน เคยมีความพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสันติภาพในโลก รูปธรรมของความพยายามนี้มีสองเรื่องที่ค่อนข้างชัด (วิทยากร อ.มารค มีส่วนโดยตรงในความพยายามทั้งสองเรื่องนี้) เรื่องแรกคือการที่ประเทศไทยเสนอตัวให้เป็นที่พูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลประเทศศรีลังกากับกลุ่ม LTTE ที่ต้องการแยกตัวออกเป็นเอกราช การพูดคุยครั้งนี้จัดที่สัตหีบ เรื่องที่สองคือโครงการที่นำเสนอกระทรวงมหาดไทยให้เปลี่ยนตำแหน่ง ป้องกันจังหวัด ไปเป็นตำแหน่ง สันติวิธีจังหวัด ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เรื่องแรกไม่สำเร็จเนื่องจากประเทศไทยยังมีความรู้ไม่พอเกี่ยวกับการเป็นผู้อำนวยความสะดวกที่ดีในการพูดคุยสันติภาพ ไปเข้าใจว่าเป็นเพียงงานการทูต ส่วนเรื่องที่สองไปชนกับปัญหาเกี่ยวกับคนในกระทรวงมหาดไทยที่สนใจเรื่องนี้เกษียณอายุก่อนที่จะปรับทิศทางใหม่ลงตัว เมื่อกลับมาคิดตอนนี้อาจเป็นได้ว่าเราไปจับจุดแข็งของประเทศไทยในเรื่องนี้ผิด จุดแข็งประเทศไทยน่าจะเป็นการเป็นศูนย์กลางการเสริมสร้างสันติภายในให้แก่เพื่อนมนุษย์ในโลก สิ่งที่คนต่างชาติประทับใจที่สุดเกี่ยวกับประเทศไทยคือน้ำใจของพลเมืองประเทศไทย ทั้งจากนักท่องเที่ยวที่สะท้อนเรื่องนี้มาตลอดจนถึงเรื่องที่ Summer University of Peace ที่ประเทศอิตาลีมาคุยเมื่อต้นปีเพื่ออยากให้มหาวิทยาลัยในไทยร่วมเป็นกรรมการบอร์ดของเขาเพื่อนำมิติสันติภายในสู่หลักสูตรของเขา ซึ่งเขาอธิบายว่ารู้สึกสิ่งนี้สื่อผ่านน้ำใจที่เห็นแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำใจที่คนเหล่านี้สัมผัสเขาพูดว่าเหมือนได้ดื่มน้ำหลังจากกระหายมานาน เสมือนพบโอเอซีสในการเดินทางผ่านทะเลทราย ได้รับความชุ่มเย็น ทำให้มีแรงพลังเดินต่อในชีวิต ถ้าเป็นเช่นนี้จริงประเทศไทยก็ต้องเข้าใจว่าแหล่งที่มาของน้ำใจนี้คืออไร และจะหาวิธีรักษาสิ่งนี้ไว้ได้อย่างไร  คำตอบที่ห้องย่อยนำเสนอคือการที่จะให้ประเทศไทยเป็นโอเอซีสน้ำใจในโลกและเป็นศูนย์กลางการสร้างสันติภายในจะเป็นไปได้โดยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่อภัยทาน

 

ประเทศไทย พื้นที่อภัยทาน 


ในส่วนนี้ได้เริ่มด้วยการอธิบายความแตกต่างระหว่าง สติ และ สมาธิ และให้ผู้ร่วมในห้องย่อยปฏิบัติดูเพื่อแยกแยะได้ ต่อจากนั้นวิทยากรได้ให้ความหมายของ อภัยทาน ซึ่งต่างจาก การให้อภัย อภัยทานแปลว่าการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น มาจาก พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ซึ่งเป็นรากฐานที่มีอยู่ในวัฒนธรรมไทยมานาน ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งของการให้ (ทาน) ของการมีน้ำใจ และของความเมตตา ความหมายของ อภัยทาน นี้ ได้อธิบายเพิ่มเติมด้วยการเล่านิทานประกอบสองเรื่องคือเรื่อง “ศัตรูผู้มีเกียรติ” และเรื่อง “รุรุมิคชาดก” หลังจากการอธิบายเรื่องอภัยทานแล้วก็ได้พูดถึงงานวิจัยเชิงปฏิบัติการเรื่อง การสร้างสันติภายในผ่านอภัยทาน (งานวิจัยของวิทยากร อ.วิลชนา) และได้อธิบายเรื่องการปฏิบัติอภัยทานโดยผู้สมัครใจ 30 คน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของงานวิจัยนี้ เมื่อเล่าเรื่องงานวิจัยแล้ว และเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกัน เห็นตัวอย่าง และมีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติอภัยทาน ได้มีการสาธิตการปฏิบัติอภัยทานโดยผู้เข้าร่วมในห้องย่อยได้ขึ้นมามีส่วนในการสาธิต วัตถุประสงค์หลักของส่วนนี้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่น เปลี่ยนทัศนคติ เห็นคุณค่าในตัวเองและเห็นความสำคัญของการดำเนินชีวิตโดยไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น เห็นคุณค่าในการปฏิบัติสิ่งเล็กๆ เช่น ความมีน้ำใจ ที่ส่งผลต่อภาพใหญ่ได้ และสามารถเป็นส่วนของการทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่อภัยทาน

 

จบห้องย่อยด้วยการเสนอให้ประเทศไทยมีการกำหนด วันอภัยทาน ประจำปี

 

1. ภาพรวมห้องย่อย


มีคนลงทะเบียน: 39 คน ยืนยัน: 24 คน เข้าจริง: 12 คน

  • ลักษณะการเข้ามาร่วมในห้องคือจะมีคนเข้า-ออกตลอดเวลา บางคนเข้ามาตอนต้นแล้วช่วงกลางก็ออกไปห้องอื่น บางคนเข้ามาในห้องช่วงกลางๆ ทำให้ผู้เข้าห้องตามประเด็นที่เสนอลำบากเนื่องจากการวางแผนนำเสนอเรื่องในห้องเป็นแบบต่อเนื่อง แต่ละเรื่องตั้งแต่เรื่องแรกจะนำไปสู่เรื่องถัดไปจนจบ

  • ในการนำเสนอเรื่องจะมีรูปแบบการเสนอแบบนิทานอยู่ด้วย ในส่วนนี้ผู้เข้าร่วมบอกภายหลังว่าชื่นชอบการเสนอลักษณะนี้ ให้วิธีคิดและได้จดจำง่าย การสาธิตการปฎิบัติอภัยทานก็เป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจลึกขึ้น

  • บางคนมาบอกภายหลังว่าชอบหัวข้อของห้องย่อยแต่ไม่สามารถมาร่วมเพราะเวลาตรงกันกับห้องอื่น

  • โดยรวมแล้วคนเข้าร่วมกิจกรรมในห้องย่อยนี้ไม่มาก มี feedback จากคนที่เข้าร่วมกิจกรรมว่าชอบกิจกรรม แต่หลายคนจะไม่เห็นภาพทั้งหมดที่ต้องการเสนอเนื่องจากไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรมตลอด

 

2. ผลที่ได้รับยังไม่ถึงที่ตั้งใจไว้


  • ข้อเสนอสำคัญในช่วงสุดท้ายของห้องย่อยคือการเสนอให้ประเทศไทยมีวันอภัยทานประจำปี แต่มีเพียงการเสนอเรื่องนี้ เวลาแลกเปลี่ยนในห้องย่อยเกี่ยวกับข้อเสนอสำคัญนี้น้อยไปเพราะหมดเวลาก่อน

 

3. ข้อค้นพบ / ข้อสังเกตจากการทำห้องย่อย


  • คนอยู่ในห้องย่อยตลอดเวลาจะสนใจ ตั้งใจฟัง และเมื่อจบแล้วมาบอกว่าชอบวิธีที่ใช้ในการนำเสนอ เน้นวิธีการผูกโยงแต่ละประเด็นแล้วส่งต่อประเด็นถัดไป การมีนิทานเป็นสื่อเป็นสิ่งที่หลายคนประทับใจ

  • วิทยากรพบว่าสาเหตุที่คนเลือกเข้าห้องย่อยเป็นการดูที่ชื่อห้อง รายละเอียดของตัวห้องย่อยไม่ค่อยชัดก่อนที่เขาจะเลือก จะไปรู้หลังที่ได้เข้าฟังสักพัก

 

4. ความประทับใจในการจัดห้องย่อย หรือจัดงานประชุมในครั้งนี้


  • ทางเราสามารถร่วมกิจกรรมต่างๆในงานครั้งนี้ได้แค่ 2 วันจาก 4 วันคือวันที่ 28 กพ. และวันที่ 1 มีค. ใน 2 วันนี้พบว่ากิจกรรมมีความหลากหลาย และหลายอย่างถึงแม้ไม่คุ้นเคยมาก่อนแต่น่าสนใจ มีการประชุมหลายห้องพร้อมๆ กันทำให้คึกคักแต่ก็ไม่สามารถเข้าร่วมทุกห้องที่อยากเข้า

  • ทางเราประทับใจความร่วมมืออย่างดีจากฝ่ายจัดประชุม ทั้งการให้ข้อแนะนำ ทำให้งานสดชื่น สนุกสนาน

  • โดยเฉพาะในห้องย่อยนี้ ฝ่ายจัดงานมีการช่วยเหลือกันเป็นทีมอย่างดีเยี่ยม

 

5. ปัจจัยความสำเร็จ / สิ่งสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จคืออะไร ปัจจัยท้าทาย มีอะไรบ้าง


  • ปัจจัยความสำเร็จคือ ช่วงของการเล่านิทาน และช่วงของการสาธิตการปฎิบัติอภัยทาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมห้องย่อยตอนท้ายด้วยคำถามและการเสนอข้อคิด

  • ปัจจัยท้าทายคือ ตั้งแต่การเตรียม content จะท้าทายมากในการพยายามที่จะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆในการอธิบายเรื่องอภัยทาน

 

6. มีอะไรต้องปรับปรุงในการจัดงานประชุมวิชาการบ้าง รวมถึงการสื่อสารภายในและภายนอก


  • การเข้าใจว่าจะเจออะไรในห้องย่อยแต่ละห้องควรหาวิธีสื่อให้ชัดกว่า เช่นรายละเอียดว่าจะทำอะไรกัน

  • ทุกอย่างน่าสนใจทั้งหมด แต่คนที่สนใจแตกกระจายกันออกไป โดยเฉพาะห้องย่อยชั้น 11 อยู่คนละอาคารกับกิจกรรมส่วนใหญ่ หลายคนหาไม่เจอ รวมทั้งกลับไปกลับมาระหว่างสองอาคารใช้เวลา

 

7. สิ่งที่อยากทำต่อหลังจากนี้


  • อยากจะประกวด สนับสนุน สื่อสารเรื่องน้ำใจของพลเมืองประเทศไทยว่านี่คือ soft power ที่แท้ของประเทศไทย และต้องรักษาไว้เพื่อไม่ให้กลายเป็นโอเอซีสในโลกที่ค่อยๆแห้งไป

  • วิธีหนึ่งที่จะรักษาไว้คือโดยการมีวันอภัยทาน อยากจะหาเวทีการสื่อสารเรื่องวันอภัยทานประจำปีว่าจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร

 

8. ถ้าไปเดินงาน SCF ภาค Experience ด้วย มีข้อสังเกตอะไรบ้าง และข้อดีข้อเสียในการจัดงานประชุมวิชาการร่วมกับงานมหกรรม SCF


  • มีการเชื่อมโยงกันดี แต่น่าจะมีการวางแผนให้ตกผลึกมากกว่านี้ มีการเชื่อม 2 ส่วนในรูปแบบที่ชัดกว่า (โดยเฉพาะการเชื่อมเวทีกลางกับ ห้องย่อย - ห้องแบ่งปันประสบการณ์) - มีห้องวิชาการ - ห้องเล่าประสบการณ์ พร้อมคนร่วมเล่าด้วย

  • พบว่า ห้องย่อย 2-3 ห้องเป็นทีมเดียวกันส่วนใหญ่ มีคนนอกเข้าร่วมกิจกรรมแค่ 2-3 คน เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนภายในทีมตัวเองที่ทำงานกันมาก่อน เล่าสู่กันฟังและแลกเปลี่ยนกัน

  • มีกิจกรรมหลากหลาย ให้ความรู้ ข้อแนะนำ น่าสนใจ ข้อเสียคือ เวลาซ้อนกัน หรือเวลาใกล้กัน บางกิจกรรมยังติดพันอยู่ เคลื่อนไปกิจกรรมอื่นไม่ทัน

 


ผู้เขียน รศ. ดร. มารค ตามไท - ดร. วิลชนา โมพัดตามไท

ศูนย์ปฏิบัติการศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ สาขาวิชาสันติศึกษา ม.พายัพ




Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page