T1-6 | เวิร์กชอป “ประเทศไทย พื้นที่อภัยทาน โอเอซิสในโลก”
- Jitwiwat
- May 7
- 2 min read
Updated: Aug 10
1 มี.ค. 68 10:00-12:00 น. ห้องประชุมชั้น 11 โรงแรมทริปเปิ้ลวาย สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : รศ.ดร.มารค ตามไท ห้องปฏิบัติการศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ สาขาวิชาสันติศึกษา ม.พายัพ
นำกิจกรรม : รศ.ดร.มารค ตามไท และ ดร.วิลชนา โมพัดตามไท
เมื่อเขตอภัยทานไม่ได้อยู่แค่ที่วัด แต่คือทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย ที่เป็นเหมือนโอเอซิสที่ชุบชูใจนักเดินทางให้อยากกลับมาเยือน พบการสาธิตวิธีปฏิบัติอภัยทานเพื่อยกเลิกการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดสันติภายในใจตนเองและสังคม ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการเรื่อง "ผลสัมฤทธิ์การใช้กระบวนการสร้างสันติในตนเองด้วยอภัยทานเชิงพุทธบูรณาการ" ของ ดร.วิลชนา โมพัดตามไท
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
นำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “อภัยทาน” ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งในความ สัมพันธ์ และความขัดแย้งในตัวเราเอง ซึ่งสามารถสะท้อนไปสู่รากฐานของคุณภาพด้านนี้ในสังคมไทย เจตนาสำคัญของการทำงานนี้ก็เพื่อการกลับมารู้จักภายในตัวเองผ่านการให้อภัย กล่าวคือ เป็นการทำงานภายในของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่โยนใส่ความคาดหวังไปที่คนอื่น
ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางสันติภาพโลกได้หรือไม่
นี่เป็นคำถามใหญ่ในใจของผู้มีวิสัยทัศน์ของสังคมไทยมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ในประเทศไทยยังบ่งบอกว่าการให้อภัยทานยังบกพร่องอยู่ ดังกรณีตากใบเมื่อหลายปีก่อน รวมถึงว่าใจคนอาจยังคับแคบและไม่เปิดกว้างพอที่จะตั้งใจให้อภัยกันจริง ๆ กระนั้น สังคมไทยก็เป็นสังคมที่มีต้นทุนเรื่องน้ำใจอยู่ไม่น้อย ดังเสียงสะท้อนของชาวต่างชาติที่มาเมืองไทย เรายังต้องศึกษาเพิ่มเติมว่า น้ำใจคนไทยมาจากไหน สังคมไทยมีธารน้ำใต้ดินที่คอยหล่อเลี้ยงผิวดินที่แห้งแล้งเสมือนเป็นโอเอซิสในทะเลทราย ที่สามารถเป็นที่ชุบใจให้กับโลกและเป็นความหวังให้กับมวลมนุษย์ได้ ใช่หรือไม่และอย่างไร
ผู้วิจัยได้ออกแบบกระบวนการศึกษาอย่างรัดกุมด้วยแนวทางของ Action Research ลงศึกษาในกลุ่มชาวบ้านกว่า 50 ครอบครัว เสริมด้วยการทบทวนความหมายเรื่อง อภัย และ อภัยทาน ตามหลักพุทธธรรม แนวคิดเรื่องการเป็นโอเอซิสหรือแหล่งของสันติภายในของมนุษยชาติ ร่วมกับประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับความขัดแย้ง สันติภาวะ และการให้อภัยในตัวผู้วิจัยเอง ส่วนในระหว่างกระบวนการนำเสนอ ผู้วิจัยได้บรรยาย ยกตัวอย่างและเล่านิทานประกอบ รวมถึงยกบางกรณีขึ้นมาแบ่งปัน มีการฝึกสติและสมาธิ เชื่อมโยงไปสู่ความเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอภัยทาน อีกทั้งได้สาธิตการทำอภัยทานเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้มีประสบการณ์ตรงด้วย
อภัยทาน สื่อถึงการมีเจตนาละเว้น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และมีนัยของการสละให้อยู่ในนั้น
เงื่อนไขสำคัญของการทำอภัยทาน คือต้องมีสติ (การรู้ตัว) และสมาธิ (การจดจ่อได้) เป็นองค์ประกอบ
ตอนลงทำวิจัยกับชาวบ้าน สิ่งแรกที่ต้องมีร่วมกันคือความไว้วางใจ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ขณะปฏิบัติการ ชาวบ้านบางคนกลัว ไม่กล้า บางคนโกรธ ไม่พอใจ แต่สิ่งสำคัญในตอนนั้นคือการเปิดใจยอมรับและไม่คาดหวังจากอีกฝ่าย
ปฏิกิริยาทางกายที่พบได้อย่างเด่นชัด ได้แก่ การจับมือ และการกอด ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับทฤษฎีทางชีววิทยาที่ชี้ว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องการการสัมผัสกาย จึงจะเกิดความรู้สึกผูกพันและอยู่รอดได้
ผลการวิจัยชี้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในสามมิติคือ อารมณ์ ทัศนคติ และความสัมพันธ์ โดยทั้งหมดตั้งต้นจากตนเอง แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติจากการที่ได้ฝึกสติ สมาธิ และรับฟังเรื่องเล่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การมีน้ำใจต่อผู้อื่น
“จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การเห็นความทุกข์ในตัวเองที่มากล้น
และทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จนนำมาสู่การปลดปล่อยตัวเองออกจากความทุกข์นั้น
ยอมเปลี่ยนทัศนคติจากการมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ มาเป็นผู้สละให้ด้วยความเต็มใจ”
อภัยทานคือการไม่เบียดเบียนกันและกัน เป็นการตั้งเจตนาที่จะละเว้นเพื่อผู้อื่น ทั้งด้านการคิด พูด และทำ น้ำใจของคนไทยที่มีให้ต่อโลกเปรียบเสมือนน้ำในโอเอซิสกลางทะเลทราย มันมีวันเหือดแห้งได้ แต่วิธีของการให้อภัยทานจะช่วยรักษาธารน้ำนี้ไว้ไม่ให้แห้ง อนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์บ่มเพาะสันติภายในให้กับนานาชาติ เป็นโอเอซิสของโลกในเรื่องของอภัยทาน
การร่วมทุกข์อาจเป็นไปได้ด้วยการอาศัยความเมตตาและความจริงใจต่อกัน การหันมามองหน้ากัน สบตากัน สัมผัสกายซึ่งกันและกัน เหล่านี้ย่อมช่วยทลายกำแพงที่ขวางกั้นอยู่ในใจของกันและกันลงได้ จากนั้น กระบวน การที่มีชัดเจนในการลดละอัตตา ควบคู่กับการฝึกสติและสมาธิ จะช่วยนำพาสันติภาวะให้เกิดขึ้น เป็นการออกจากความทุกข์ที่เราเคยยึดติด และด้วยการมีสันติภาวะในตัวเองเช่นนี้ เราถึงนำพาสันติภาวะไปสู่ผู้อื่นได้ต่อไป
การมีมุมมองต่ออภัยทานอย่างลึกซึ้ง มองการให้อภัยทานผ่านการปล่อยวางของตัวเราเองเป็นหลัก หาใช่การรอคอยให้อีกฝ่ายต้องยอมรับในคำขออภัยของเราไม่ เพียงแค่เราวางความรู้สึกที่ติดค้างทั้งหลายลงพร้อมกับการให้อภัยทาน เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตวิญญาณของกันและกันงอกงามขึ้นได้
เมื่อการให้อภัยทาน มาจากความเนื้อเป็นตัวของตัวเราเองก่อน เมื่อเราทำมันเองด้วยหัวใจของเรา
เมื่อนั้นการให้อภัยของเราจะจริงแท้และมีพลัง สังคมก็จะรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่นั้น
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทสะท้อนจากเจ้าภาพห้องประชุมย่อย ประเทศไทย พื้นที่อภัยทาน โอเอซิสในโลก
ในการสะท้อนเกี่ยวกับการจัดห้องย่อยจำเป็นต้องอธิบายก่อนว่าห้องย่อยนี้ได้นำเสนอและมีกิจกรรมอะไรบ้างเพื่อที่จะเข้าใจการสะท้อนในประเด็นต่างๆ จึงขอเริ่มด้วยการอธิบายการดำเนินการในห้องย่อย
การนำเสนอในห้องย่อย ห้องย่อยเราเริ่มด้วยคำถามว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสันติภาพโลกได้หรือไม่อย่างไร และจบที่ข้อเสนอ ให้ประเทศไทยมีการกำหนดวันอภัยทานประจำปี ตรรกในการโยงคำถามแรกไปสู่ข้อเสนอสุดท้ายเป็นดังนี้
ประเทศไทย โอเอซีสในโลก
เมื่อประมาณ 25 ปีก่อน เคยมีความพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสันติภาพในโลก รูปธรรมของความพยายามนี้มีสองเรื่องที่ค่อนข้างชัด (วิทยากร อ.มารค มีส่วนโดยตรงในความพยายามทั้งสองเรื่องนี้) เรื่องแรกคือการที่ประเทศไทยเสนอตัวให้เป็นที่พูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลประเทศศรีลังกากับกลุ่ม LTTE ที่ต้องการแยกตัวออกเป็นเอกราช การพูดคุยครั้งนี้จัดที่สัตหีบ เรื่องที่สองคือโครงการที่นำเสนอกระทรวงมหาดไทยให้เปลี่ยนตำแหน่ง ป้องกันจังหวัด ไปเป็นตำแหน่ง สันติวิธีจังหวัด ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เรื่องแรกไม่สำเร็จเนื่องจากประเทศไทยยังมีความรู้ไม่พอเกี่ยวกับการเป็นผู้อำนวยความสะดวกที่ดีในการพูดคุยสันติภาพ ไปเข้าใจว่าเป็นเพียงงานการทูต ส่วนเรื่องที่สองไปชนกับปัญหาเกี่ยวกับคนในกระทรวงมหาดไทยที่สนใจเรื่องนี้เกษียณอายุก่อนที่จะปรับทิศทางใหม่ลงตัว เมื่อกลับมาคิดตอนนี้อาจเป็นได้ว่าเราไปจับจุดแข็งของประเทศไทยในเรื่องนี้ผิด จุดแข็งประเทศไทยน่าจะเป็นการเป็นศูนย์กลางการเสริมสร้างสันติภายในให้แก่เพื่อนมนุษย์ในโลก สิ่งที่คนต่างชาติประทับใจที่สุดเกี่ยวกับประเทศไทยคือน้ำใจของพลเมืองประเทศไทย ทั้งจากนักท่องเที่ยวที่สะท้อนเรื่องนี้มาตลอดจนถึงเรื่องที่ Summer University of Peace ที่ประเทศอิตาลีมาคุยเมื่อต้นปีเพื่ออยากให้มหาวิทยาลัยในไทยร่วมเป็นกรรมการบอร์ดของเขาเพื่อนำมิติสันติภายในสู่หลักสูตรของเขา ซึ่งเขาอธิบายว่ารู้สึกสิ่งนี้สื่อผ่านน้ำใจที่เห็นแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำใจที่คนเหล่านี้สัมผัสเขาพูดว่าเหมือนได้ดื่มน้ำหลังจากกระหายมานาน เสมือนพบโอเอซีสในการเดินทางผ่านทะเลทราย ได้รับความชุ่มเย็น ทำให้มีแรงพลังเดินต่อในชีวิต ถ้าเป็นเช่นนี้จริงประเทศไทยก็ต้องเข้าใจว่าแหล่งที่มาของน้ำใจนี้คืออไร และจะหาวิธีรักษาสิ่งนี้ไว้ได้อย่างไร คำตอบที่ห้องย่อยนำเสนอคือการที่จะให้ประเทศไทยเป็นโอเอซีสน้ำใจในโลกและเป็นศูนย์กลางการสร้างสันติภายในจะเป็นไปได้โดยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่อภัยทาน
ประเทศไทย พื้นที่อภัยทาน
ในส่วนนี้ได้เริ่มด้วยการอธิบายความแตกต่างระหว่าง สติ และ สมาธิ และให้ผู้ร่วมในห้องย่อยปฏิบัติดูเพื่อแยกแยะได้ ต่อจากนั้นวิทยากรได้ให้ความหมายของ อภัยทาน ซึ่งต่างจาก การให้อภัย อภัยทานแปลว่าการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น มาจาก พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ซึ่งเป็นรากฐานที่มีอยู่ในวัฒนธรรมไทยมานาน ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งของการให้ (ทาน) ของการมีน้ำใจ และของความเมตตา ความหมายของ อภัยทาน นี้ ได้อธิบายเพิ่มเติมด้วยการเล่านิทานประกอบสองเรื่องคือเรื่อง “ศัตรูผู้มีเกียรติ” และเรื่อง “รุรุมิคชาดก” หลังจากการอธิบายเรื่องอภัยทานแล้วก็ได้พูดถึงงานวิจัยเชิงปฏิบัติการเรื่อง การสร้างสันติภายในผ่านอภัยทาน (งานวิจัยของวิทยากร อ.วิลชนา) และได้อธิบายเรื่องการปฏิบัติอภัยทานโดยผู้สมัครใจ 30 คน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของงานวิจัยนี้ เมื่อเล่าเรื่องงานวิจัยแล้ว และเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกัน เห็นตัวอย่าง และมีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติอภัยทาน ได้มีการสาธิตการปฏิบัติอภัยทานโดยผู้เข้าร่วมในห้องย่อยได้ขึ้นมามีส่วนในการสาธิต วัตถุประสงค์หลักของส่วนนี้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่น เปลี่ยนทัศนคติ เห็นคุณค่าในตัวเองและเห็นความสำคัญของการดำเนินชีวิตโดยไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น เห็นคุณค่าในการปฏิบัติสิ่งเล็กๆ เช่น ความมีน้ำใจ ที่ส่งผลต่อภาพใหญ่ได้ และสามารถเป็นส่วนของการทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่อภัยทาน
จบห้องย่อยด้วยการเสนอให้ประเทศไทยมีการกำหนด วันอภัยทาน ประจำปี
1. ภาพรวมห้องย่อย
มีคนลงทะเบียน: 39 คน ยืนยัน: 24 คน เข้าจริง: 12 คน
ลักษณะการเข้ามาร่วมในห้องคือจะมีคนเข้า-ออกตลอดเวลา บางคนเข้ามาตอนต้นแล้วช่วงกลางก็ออกไปห้องอื่น บางคนเข้ามาในห้องช่วงกลางๆ ทำให้ผู้เข้าห้องตามประเด็นที่เสนอลำบากเนื่องจากการวางแผนนำเสนอเรื่องในห้องเป็นแบบต่อเนื่อง แต่ละเรื่องตั้งแต่เรื่องแรกจะนำไปสู่เรื่องถัดไปจนจบ
ในการนำเสนอเรื่องจะมีรูปแบบการเสนอแบบนิทานอยู่ด้วย ในส่วนนี้ผู้เข้าร่วมบอกภายหลังว่าชื่นชอบการเสนอลักษณะนี้ ให้วิธีคิดและได้จดจำง่าย การสาธิตการปฎิบัติอภัยทานก็เป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจลึกขึ้น
บางคนมาบอกภายหลังว่าชอบหัวข้อของห้องย่อยแต่ไม่สามารถมาร่วมเพราะเวลาตรงกันกับห้องอื่น
โดยรวมแล้วคนเข้าร่วมกิจกรรมในห้องย่อยนี้ไม่มาก มี feedback จากคนที่เข้าร่วมกิจกรรมว่าชอบกิจกรรม แต่หลายคนจะไม่เห็นภาพทั้งหมดที่ต้องการเสนอเนื่องจากไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรมตลอด
2. ผลที่ได้รับยังไม่ถึงที่ตั้งใจไว้
ข้อเสนอสำคัญในช่วงสุดท้ายของห้องย่อยคือการเสนอให้ประเทศไทยมีวันอภัยทานประจำปี แต่มีเพียงการเสนอเรื่องนี้ เวลาแลกเปลี่ยนในห้องย่อยเกี่ยวกับข้อเสนอสำคัญนี้น้อยไปเพราะหมดเวลาก่อน
3. ข้อค้นพบ / ข้อสังเกตจากการทำห้องย่อย
คนอยู่ในห้องย่อยตลอดเวลาจะสนใจ ตั้งใจฟัง และเมื่อจบแล้วมาบอกว่าชอบวิธีที่ใช้ในการนำเสนอ เน้นวิธีการผูกโยงแต่ละประเด็นแล้วส่งต่อประเด็นถัดไป การมีนิทานเป็นสื่อเป็นสิ่งที่หลายคนประทับใจ
วิทยากรพบว่าสาเหตุที่คนเลือกเข้าห้องย่อยเป็นการดูที่ชื่อห้อง รายละเอียดของตัวห้องย่อยไม่ค่อยชัดก่อนที่เขาจะเลือก จะไปรู้หลังที่ได้เข้าฟังสักพัก
4. ความประทับใจในการจัดห้องย่อย หรือจัดงานประชุมในครั้งนี้
ทางเราสามารถร่วมกิจกรรมต่างๆในงานครั้งนี้ได้แค่ 2 วันจาก 4 วันคือวันที่ 28 กพ. และวันที่ 1 มีค. ใน 2 วันนี้พบว่ากิจกรรมมีความหลากหลาย และหลายอย่างถึงแม้ไม่คุ้นเคยมาก่อนแต่น่าสนใจ มีการประชุมหลายห้องพร้อมๆ กันทำให้คึกคักแต่ก็ไม่สามารถเข้าร่วมทุกห้องที่อยากเข้า
ทางเราประทับใจความร่วมมืออย่างดีจากฝ่ายจัดประชุม ทั้งการให้ข้อแนะนำ ทำให้งานสดชื่น สนุกสนาน
โดยเฉพาะในห้องย่อยนี้ ฝ่ายจัดงานมีการช่วยเหลือกันเป็นทีมอย่างดีเยี่ยม
5. ปัจจัยความสำเร็จ / สิ่งสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จคืออะไร ปัจจัยท้าทาย มีอะไรบ้าง
ปัจจัยความสำเร็จคือ ช่วงของการเล่านิทาน และช่วงของการสาธิตการปฎิบัติอภัยทาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมห้องย่อยตอนท้ายด้วยคำถามและการเสนอข้อคิด
ปัจจัยท้าทายคือ ตั้งแต่การเตรียม content จะท้าทายมากในการพยายามที่จะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆในการอธิบายเรื่องอภัยทาน
6. มีอะไรต้องปรับปรุงในการจัดงานประชุมวิชาการบ้าง รวมถึงการสื่อสารภายในและภายนอก
การเข้าใจว่าจะเจออะไรในห้องย่อยแต่ละห้องควรหาวิธีสื่อให้ชัดกว่า เช่นรายละเอียดว่าจะทำอะไรกัน
ทุกอย่างน่าสนใจทั้งหมด แต่คนที่สนใจแตกกระจายกันออกไป โดยเฉพาะห้องย่อยชั้น 11 อยู่คนละอาคารกับกิจกรรมส่วนใหญ่ หลายคนหาไม่เจอ รวมทั้งกลับไปกลับมาระหว่างสองอาคารใช้เวลา
7. สิ่งที่อยากทำต่อหลังจากนี้
อยากจะประกวด สนับสนุน สื่อสารเรื่องน้ำใจของพลเมืองประเทศไทยว่านี่คือ soft power ที่แท้ของประเทศไทย และต้องรักษาไว้เพื่อไม่ให้กลายเป็นโอเอซีสในโลกที่ค่อยๆแห้งไป
วิธีหนึ่งที่จะรักษาไว้คือโดยการมีวันอภัยทาน อยากจะหาเวทีการสื่อสารเรื่องวันอภัยทานประจำปีว่าจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร
8. ถ้าไปเดินงาน SCF ภาค Experience ด้วย มีข้อสังเกตอะไรบ้าง และข้อดีข้อเสียในการจัดงานประชุมวิชาการร่วมกับงานมหกรรม SCF
มีการเชื่อมโยงกันดี แต่น่าจะมีการวางแผนให้ตกผลึกมากกว่านี้ มีการเชื่อม 2 ส่วนในรูปแบบที่ชัดกว่า (โดยเฉพาะการเชื่อมเวทีกลางกับ ห้องย่อย - ห้องแบ่งปันประสบการณ์) - มีห้องวิชาการ - ห้องเล่าประสบการณ์ พร้อมคนร่วมเล่าด้วย
พบว่า ห้องย่อย 2-3 ห้องเป็นทีมเดียวกันส่วนใหญ่ มีคนนอกเข้าร่วมกิจกรรมแค่ 2-3 คน เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนภายในทีมตัวเองที่ทำงานกันมาก่อน เล่าสู่กันฟังและแลกเปลี่ยนกัน
มีกิจกรรมหลากหลาย ให้ความรู้ ข้อแนะนำ น่าสนใจ ข้อเสียคือ เวลาซ้อนกัน หรือเวลาใกล้กัน บางกิจกรรมยังติดพันอยู่ เคลื่อนไปกิจกรรมอื่นไม่ทัน









Comments