T1-3 | เสวนา “จิตศึกษากับปัญญาภายใน”
- Jitwiwat
- May 9
- 2 min read
Updated: May 24
28 ก.พ. 68 13:00-15:00 น. ห้องประชุมชั้น 11 โรงแรมทริปเปิ้ลวาย สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : วิเชียร ไชยบัง รร.ลําปลายมาศพัฒนา
นําเสวนา : วิเชียร ไชยบัง, การุณ ชาญวิชานนท์ รร.บ้านโกรกลึก, จุฬาลักษณ์ ใหม่คำ
รร.ชุมชนวัดต้นเชือก และ ผศ.ดร.อนุชา กอนพ่วง ม.นเรศวร
ผู้ดําเนินรายการ : พรรณทิพย์พา ทองมี รร.ลําปลายมาศพัฒนา
ชวนสัมผัสกระบวนทัศน์และกระบวนการของ “จิตศึกษา” ที่มุ่งพัฒนาปัญญาภายในและความเข้าใจในตัวเอง เริ่มจากการมีสติสัมปชัญญะ การตระหนักรู้ในตัวเอง การมีวิจารณญาณในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม น้อมนำไปสู่การเข้าถึงความจริงตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าสุขภาวะทางปัญญา
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
ในเสวนา “จิตศึกษากับปัญญาภายใน” ผู้บรรยายได้นำเสนอแนวคิด “จิตศึกษา” ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษาที่มุ่งเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอนจากแบบเดิมไปสู่การพัฒนานักเรียนให้มีสติและความรู้คิดอย่างมีเหตุผล โดยฝึกฝนให้เด็กมีการให้คุณค่ากับคุณธรรมที่เป็นนามธรรม เช่น มิตรภาพ ความเคารพ และการเอื้อเฟื้อ ผ่านการใช้จิตวิทยาเชิงบวกในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีพลังบวกในการพัฒนาเด็ก
กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการฝึกสติและการนั่งสมาธิ เพื่อเตรียมพร้อมให้ผู้เข้าร่วมตั้งสติ ผู้บรรยายได้เล่านิทานเกี่ยวกับครอบครัวนกกระจอก เพื่อสื่อถึงการบ่มเพาะของผู้ปกครองที่มีความหวังดีอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกแต่สิ่งที่ตั้งใจเลือกมาอาจไม่ตรงกับธรรมชาติของเด็ก จากนั้นได้เล่าถึงประสบการณ์กว่า 20 ปี ในการนำการศึกษาเชิงจิตปัญญามาปรับใช้ในโรงเรียน ซึ่งผ่านความท้าทายต่างๆมามากมาย และจนปัจจุบันได้มีการยอมรับและนำไปใช้ในโรงเรียนอีกมากมายในประเทศไทย
ผู้บรรยายได้แสดงผลลัพธ์จากการใช้หลักสูตร “จิตศึกษา” ซึ่งทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น มีเหตุผลและคุณธรรม และสามารถต้านทานสิ่งชักจูงที่ไม่ดีในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้บรรยายยังชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาแบบเดิมที่อาจไม่เห็นคุณค่าในวิธีการนี้ โดยต้องใช้เวลาในการปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
การเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาจิตใจและการคิดอย่างมีเหตุผลช่วยสร้างเด็กให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญญาและมีภูมิต้านทานต่อแรงกดดันจากภายนอก โดยการส่งเสริมจิตศึกษาและการพัฒนาปัญญาภายในจะช่วยให้เด็กเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและลดอคติที่อาจเกิดขึ้นในการเรียนรู้ ข้อสังเกตจากผู้เข้าร่วมคือต้องระวังไม่ให้การเน้นเหตุผลและอารมณ์เชิงบวกกลบความเป็นธรรมชาติของเด็กและทำให้สูญเสียความไร้เดียงสาของวัยเด็ก
จิตศึกษาเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเรียนการสอนจากแบบเดิมไปสู่การฝึกฝนการมีสติและการรู้สึกตัว เพื่อให้เด็กเรียนรู้คุณค่าที่เป็นนามธรรม เช่น มิตรภาพ ความเอื้อเฟื้อ และความเคารพ
การพัฒนาปัญญาภายใน เป็นเป้าหมายหลักของจิตศึกษา โดยมุ่งปลูกฝังให้เด็กมีความรู้คิดและเหตุผลเหมือนวัยผู้ใหญ่ ซึ่งช่วยให้เด็กมีความเข้มแข็งทางความคิด และมีภูมิต้านทานต่อสิ่งชักจูงที่ไม่ดีในอนาคต
การใช้จิตวิทยาเชิงบวก ในการสร้างสนามพลังบวกในการเรียนการสอนช่วยให้เด็กๆ เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการเคารพซึ่งกันและกันระหว่างครูและนักเรียน
กิจกรรมการฝึกสติและสมาธิ ตลอดทั้งวันที่มาเข้าเรียนที่โรงเรียน ช่วยกระตุ้นให้เด็กมีสมาธิและตระหนักถึงความสำคัญของการคิดอย่างมีเหตุผล
ผลลัพธ์ที่ได้ จากโรงเรียนที่ร่วมโครงการในการใช้จิตศึกษา เห็นได้ชัดจากการพัฒนาการของเด็กนักเรียน และพฤติกรรมที่ดีขึ้น กล้าพูดและแสดงออก
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทสรุปจากเจ้าภาพห้องประชุมย่อย
จิตศึกษา พัฒนาปัญญาภายใน (งอกงามสู่ความไม่มี)
ศีลธรรมพัฒนาขึ้นมาให้อยู่ในยีน มนุษย์เผ่าพันธุ์โมเซเปียนไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด แต่กลับมีวิวัฒนาการและอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้ นั่นเพราะเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่วมมือกันเก่ง รวมกลุ่มกันเก่ง คนใดได้แสดงความมีศีลธรรมสำคัญต่อการอยู่รวมกันจะถูกเชิดชูยกย่องจนเป็นตำนานกล่าวขานเป็นแบบอย่าง แต่สำหรับการกระทำที่ไร้ศีลธรรม จะถูกกลุ่มนินทาว่าร้าย ลงโทษหรือขับออกจากกลุ่ม ทั้งถูกสร้างเป็นเรื่องเล่าเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง
เผ่าพันธุ์อยู่รอดเพราะการรวมกลุ่ม แต่ภายในกลุ่มคนก็มีการแข่งขันอยู่ในที เพื่อให้ตนมีสถานะที่สูงกว่าภายในกลุ่ม สถานะที่สูงกว่าเป็นที่มาของอาหาร ที่หลับนอนอันปลอดภัย และโอกาสในการขยายเผ่าพันธุ์ แรงพลังที่เป็นเสมือนคู่ตรงข้ามกันนี้ จึงทำให้กำหนดข้อศีลธรรมสำหรับกลุ่มของตนขึ้น ซึ่งแต่ละกลุ่มก็อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่เจตนาก็เพื่อการให้การรวมกลุ่มนั้นให้แข็งแรงขึ้น
ส่วนมนุษย์จะกระทำหรือจะแสดงออกทางศีลธรรมหรือไม่นั่นเป็นงานของสมอง วิวัฒนาการพัฒนาสองมนุษย์ขึ้นมา 3 ส่วน สมองส่วนแกน ส่วนกลาง และสวนนอก สมอง 3 ส่วน ทำให้เกิดระบบตัดสินใจ 2 แบบ คือแบบเร็ว และ แบบช้า
สมองโซนร้อนตอบสนองแบบเร็วนั้นเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการเอาตัวรอดโดยสมองส่วนแกนเป็นหลัก สู้หรือหนีเพื่อเอาตัวรอด และการตอบสนองแบบเร็วอีกแบบมาจากระบบสมองส่วนกลางซึ่งทำงานเกี่ยวกับอารมณ์เป็นหลัก สมองขี้เกียจเพื่อลดการใช้พลังงานด้วยมีเรื่องราวมากมายในแต่ละวันที่จะต้องตัดสินใจและตอบสนอง วิธีการตอบสนองแบบเร็วจึงเป็นหลักในชีวิตเรา แน่ล่ะบางครั้งนำปัญหาใหญ่เข้าสู่ชีวิตเพราะความวู่วาม ความอยาก หรือ ความกลัว
สมองโซนเย็นเป็นระบบการตัดสินใจอีกแบบไว้เป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ดีขึ้นทั้งเพื่อการแข่งขัน นั่นคือระบบการตัดสินใจแบบไตร่ตรองโดยการทำงานหลักของเปลือกสมองส่วนหน้า เป็นส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับ ทักษะสมองอีเอฟ การรับรู้ตัวเอง ระบบควบคุมตัวเอง การคาดการณ์ผลอนาคต ระบบการให้รางวัล ระบบคิดเชิงนามธรรมและความหมายที่เหนือกว่าตนเองซึ่งเกี่ยวข้องกับนิยามของปัญญาภายใน
การตัดสินใจแบบไตร่ตรองค่อนข้างช้า ประมวลผลจากหลายมิติ ทั้งคำนึงถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวม ระบบนี้ก็มีปัญหาในเชิงศีลธรรมเช่นกัน เพราะโจรที่เก่งก็ใช้ระบบการคิดแบบไตร่ตรอง
ดูเหมือนการทำให้ผู้คนมีศีลธรรม เราจะพึ่งพาระบบการนินทา ระบบการเชิดชู หรือ ระบบการทำงานของสมองไม่ได้ผลแบบแน่นอนนัก
งานครูเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยการทำหน้าที่บ่มเพาะให้มนุษย์ดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข บนความเข้าใจและความเคารพต่อความจริงตามธรรมชาติของมนุษย์
ปี 2546 ที่ก่อตั้งโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จึงได้มีวิธีคิดที่จะพัฒนาปัญญาภายในขึ้น (Inner Education) เพื่อต้องการบ่มเพาะความมีศีลธรรมคือกระทำและแสดงออกโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวมที่สมดุล
นวัตกรรม “จิตศึกษา” ที่มุ่งพัฒนาปัญญาภายใน คือการเรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริงตามธรรมชาติของตน ค้นพบความหมายของการมีชีวิต รู้ในเจตจำนงของการกระทำ ตัดสินใจกระทำโดยคำนึงถึงสมดุลของประโยชน์ตนกับประโยชน์ส่วนรวม พื้นฐานสำคัญที่จะนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายเหล่านั้นคือ การฝึกสติ เมื่อมีสติก็จะตระหนักรู้สภาวะภายในตนตั้งแต่ตระหนักรู้ต่อผัสสะและการรับรู้ ตระหนักรู้ต่อสภาวะหลังจากการรับรู้ที่กระทบต่อความคิดและความรู้สึกนานา ตระหนักรู้จะนำสู่วิจารณญาณที่แท้คือเห็นข้อมูลของปรากฏการณ์ภายนอกได้ครบถ้วนเท่าที่จะเห็นได้ทั้งเห็นสภาวะภายในตนทั้งความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ความกลัวและเจตจำนง แล้ววิจารณญาณที่แท้ก็นำไปสู่การตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อคนและส่วนรวม ประสบการณ์ที่เกิดในวงจรประสาทแบนี้ซ้ำๆ จะนำไปสู่การเห็นแบบรูปของความจริงตามธรรมชาติ สามารถอยู่และเผชิญความจริงธรรมชาติได้อย่างสงบ
จิตศึกษาที่ครบถ้วนจะดำเนินการด้วย 3 กระบวนทัศน์ไปพร้อมกัน ได้แก่ (1) การสร้างปัจจัยเกื้อหนุนโดยการสร้างสนามพลังบวก (2) การสร้างปัจจัยบ่มเพาะโดยการใช้จิตวิทยาเชิงบวกและการปรับพฤติกรรมเชิงบวก (3 )การออกแบบกิจกรรมฝึกฝนผู้เรียนและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
(1) สนามพลังบวก เริ่มจากการทำให้สภาพแวดล้อม สะอาด สงบ สัปปายะ พึ่งพาพลังธรรมชาติด้วยต้นไม้ผืนดินผืนหญ้า เด็กๆที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติก็จะซึมซับความจริงตามธรรมชาติ ความเป็นไปที่ซื่อตรงผ่านกลิ่นของสายลมแห่งฤดูกาล เพื่อซึมซับ senses of life ซึ่งสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่ไม่อาจสอนโดยตรงได้
วัฒนธรรม กิจกรรมเชิงประเพณี และวิถี ก็มีผลต่อสนามพลัง วิถีที่มีเหตุผล คงเส้นคงวาสร้างสนามพลังบวกได้ วัฒนธรรมแห่งการเคารพซึ่งกันและกัน เคารพความแตกต่างทางความคิดก็สร้างสนามพลังบวกเช่นกันโดยธรรมชาติเด็กๆเรียนรู้ผ่านการซึมซับตลอดเวลา สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้คือค่านิยม (Values) ว่าค่านิยมใดเป็นที่ต้องการของกลุ่มสังคมตนและอันใดไม่ใช่ ซึ่งทั้งหมดซ่อนอยู่ในวัฒนธรรม ประเพณี และวิถี ความคิดความเชื่อก็เป็นส่วนหนึ่งของสนามพลัง ความคิดความเชื่อบางแบบก็สร้างสนามพลังลบ เช่น การควบคุมเชิงอำนาจ
การสร้างพื้นที่ที่จะเป็นสนามพลังบวกต้องการออกแบบใหม่ ปรับเปลี่ยนได้ และสามารถประเมินวัดได้จากความรู้สึกสัมผัสของผู้คนที่เข้ามาอยู่ในสนาม ว่าผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย สงบ เปี่ยมพลังต่อการเรียนรู้หรือไม่
(2) จิตวิทยาเชิงบวก คือ การทำให้อะมิกะดาลาในสมองของเด็กรับรู้ถึงความปลอดภัย แล้วปลดปล่อยพลังสมองสู่การเรียนรู้โดยสมองชั้นนอกและเปลือกหน้า
หลักการสำคัญของจิตวิทยาเชิงบวกคือ เคารพคุณค่าความเป็นมนุษย์
ภายใต้หลักการนี้ มีแนวปฏิบัติ สามแบบ คือ (1) สิ่งที่ต้องไม่ทำ เช่น การลงโทษ การบูลลี่ (2) สิ่งที่ต้องลด เช่น การเปรียบเทียบ การตัดสิน การใช้คำพูดด้านลบ การยัดเยียดความคิดความเชื่อ การกดทับด้วยอำนาจ และ (3) สิ่งต้องเพิ่ม เช่น การเสริมพลังบวก การให้คำชื่นชมต่อความพยายาม การให้การฟีดแบ็ค การให้การสะท้อนคิด การรับฟังอย่างตั้งใจ
(3) กิจกรรมของ “จิตศึกษา” เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนได้ใช้สมองเปลือกหน้า ถูกออกแบบกิจกรรมไว้ 3 ช่วงเวลา เวลา กิจกรรมจิตศึกษาเช้า 20 นาทีก่อนเรียนสิ่งอื่นๆ โดยฝึกฝนการใช้วิจารณญาณผ่านสถานการณ์จำลองและสถานการณ์จริง กิจกรรมจิตศึกษาบ่าย 15 นาที เป็นการฝึกสติผ่านการทำบอดี้สแกนอาจเป็นแบบยืน นั่ง หรือนอน ส่วนกิจกรรมจิตศึกษาช่วงที่ 3 จะเกิดขึ้นก่อนกลับบ้าน โดยใช้เวลาราว 30 นาที สติและการสะท้อนคิด จากกิจกรรมทั้งวัน
กิจกรรมจิตศึกษา เช้า 20 นาทีมีขั้นตอนในการฝึกฝนกระบวนการ ฝึกฝนการตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อการแสดงออกของค่านิยมที่ดีงาม (Values) เริ่มจาก สติ ตระหนักรู้ ใส่ข้อมูลที่เป็นการฝึกฝนเพื่อนำผู้เรียนไปสู่การใช้วิจารณญาณ ตัดสินใจโดยใช้ค่านิยมที่ดีงาม ในการจัดการเรียนรู้ ไม่ว่าสาระใดชั่วโมงเรียนแบบไหนก็ สามารถออกแบบกระบวนการเพื่อให้ผู้เรียนฝึกฝนการใช้ค่านิยมที่ดีงามได้
กิจกรรมจิตศึกษาบ่าย Body Scan 15 นาที คือการทำให้ระลึกรู้และผ่อนคลายอวัยวะทุกส่วน อาจจะเริ่มจากปลายเท้า หรือจากใบหน้าไปหาเท้า เป็นการเจริญสติแบบหนึ่ง ผลพลอยได้สำคัญคือ การผ่อนคลาย ร่างกาย อารมณ์จิตใจ และ สมอง ลดความเครียดหรือกังวลใจ จะทำให้รู้สึกสงบ คลื่นสมองจากความถี่สูงๆ จะกลายลดความถี่ต่ำลงสู่ระดับอัลฟ่า การฝึกฝนบ่อยๆ จะทำให้กลับมารู้ตัวเองได้ไว หรือ ชำนาญการมีสติ ควบคุมอารมณ์ได้ดี เปิดการรับรู้รับฟังได้ดี
กิจกรรมจิตศึกษาหลังเรียน จัดกายจัดใจ เป็นกิจกรรมที่ครูและนักเรียนในแต่ละชั้น จะรวมกันนั่งล้อมวง แล้วนำตนเองกลับสู่ความสงบ มีสติรู้เนื้อรู้ตัวสั้นๆ ก่อน เป็นการเตรียมสภาวจิตก่อนแล้วจึงเริ่มสนทนาเพื่อสะท้อนคิดถึงสิ่งที่ได้เรียนมาทั้งวัน คำถามนำไปสู่การสนทนาสะท้อนคิดควรเป็นเชิงบวก ถามความรู้สึกในด้านบวก เช่น วันนี้รู้สึกดีกับเรื่องอะไร รู้สึกขอบคุณใครหรือสิ่งใด ได้แรงบันดาลใจใหม่อะไรบ้าง ขั้นตอนถัดมาจึงให้สะท้อนคิดเพื่อนำไปสู่การสรุปความรู้ แล้วจึงจบด้วยการขอบคุณกันและกันทั้งครูและนักเรียน
Comments