T1-12 | เสวนาและกิจกรรมทดลอง “THERAPEUTIC HARMONY ศาสตร์ดนตรีบำบัดกับการพัฒนาสุขภาวะด้านใน”
- Jitwiwat
- May 1
- 3 min read
Updated: Jun 1
เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงของนักดนตรีบำบัด 4 ท่าน เพื่อเปิดโลกแห่งดนตรีบำบัด ซึ่งเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่มีศักยภาพในการเสริมสร้างสุขภาวะองค์รวม สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง บอกเล่ากรณีศึกษาและการประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ เชื่อมโยงดนตรีบำบัดกับการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาและการเติบโตด้านในของมนุษย์ทุกช่วงวัย รวมทั้งเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสมาคมดนตรีบำบัด สถาบันการศึกษา และนักดนตรีบำบัดวิชาชีพ
2 มี.ค. 68 18:00-20:00 น. เดอะมิตร-ติ้งรูม ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : สมาคมดนตรีบำบัดประเทศไทย (TAMT)
วิทยากร : ชลัช วรยรรยง ไพฑูรย์ เพิ่มศิรินิวาส ดร.สมรรถยา วาทะวัฒนะ และ พญ.ภาวิดา วรวัชรพาทิน
ผู้ดำเนินรายการ : ไพฑูรย์ เพิ่มศิรินิวาส
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
ความเข้าใจผิดที่มีต่อดนตรีบำบัด เช่น ผู้บำบัดต้องเล่นดนตรีเป็นหรือใช้บำบัดเฉพาะผู้ป่วย ทั้งที่จริงดนตรีบำบัดที่รวมถึงการร้องเพลง การแต่งเพลง องค์ประกอบของดนตรี สามารถช่วยเสริมสุขภาวะได้หลายมิติ การให้ความรู้จะช่วยให้วิชาชีพนี้เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น
กลุ่มนักดนตรีบำบัดที่มีทั้งนักศึกษาดนตรีบำบัด นักดนตรีบำบัด และแพทย์ผู้ใช้ดนตรีบำบัดเป็นแนวทางเสริมในการดูแลผู้ป่วย นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับดนตรีบำบัด และประโยชน์ของดนตรีบำบัดที่ช่วยเสริมสร้างกาย ใจ จิตสังคม และจิตวิญญาณ การบรรยายความหมายของดนตรีบำบัด การใช้ดนตรีบำบัดในทางการแพทย์เพื่อบำบัดผู้ป่วยทั้งในผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยระยะท้าย ดนตรีบำบัดที่ช่วยเยียวยาผู้คนที่มีภาวะเครียด เยียวยาความสัมพันธ์ ดนตรีบำบัดเพื่อเสริมสร้างร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ ดนตรีบำบัดเพื่อการเข้าใจตนเองและสร้างคุณค่าในตัวเองสำหรับเยาวชนผู้ด้อยโอกาส การทำงานดนตรีบำบัดเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆ เช่น การแพทย์ การศึกษา เป็นต้น
ผู้เข้าร่วมได้ทดลองปฏิบัติสั้น ๆ ง่าย ๆ เช่น การทำเสียงให้เป็นจังหวะโดยใช้การตบมือ ตบหน้าขา หรือดีดนิ้ว การส่งเสียงร้อง (ฮัมเพลง) แบบด้นสด และการวาดภาพระบายสีขณะเปิดเพลงบรรเลง เป็นต้น
ข้อสรุปหลักๆ ที่ได้จากการเสวนา ได้แก่
ดนตรีบำบัดคือการใช้องค์ประกอบทางดนตรี เช่น เนื้อเพลง ท่วงทำนอง และจังหวะ มาใช้ฟื้นฟูอาการต่างๆของผู้ป่วย
ดนตรีบำบัดในทางการแพทย์ช่วยบำบัดผู้ป่วยทั้งในผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยระยะท้าย
ดนตรีบำบัดที่ช่วยเยียวยาผู้คนที่มีภาวะเครียด และช่วยเยียวยาความสัมพันธ์
ดนตรีบำบัดสามารถช่วยเสริมสร้างร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ
ดนตรีบำบัดช่วยทำให้เกิดความเข้าใจตนเองและช่วยให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาสสร้างคุณค่าในตัวเอง
การทำงานดนตรีบำบัดสามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆ เช่น การแพทย์ การศึกษา เป็นต้น
ปัจจุบันในประเทศไทยมีสถาบันที่สอนดนตรีบำบัดคือมหาวิทยาลัยมหิลและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สิ่งสำคัญคือดนตรีบำบัดช่วยเสริมสร้างกาย ใจ จิตสังคม และจิตวิญญาณ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้สร้างเสริม
สุขภาวะทางปัญญาได้
คุณค่าที่ได้รับคือดนตรีบำบัดช่วยสร้างคุณค่าในตนเอง เสริมพลังใจให้มองโลกด้านบวก มีความหวัง กำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ดนตรีบำบัดช่วยให้จิตใจสงบ ลดการตอบโต้ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงลง อันเป็นจุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะสันติภาวะภายในใจ ดนตรีบำบัดช่วยส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญา ทำให้เข้าใจตัวเอง เห็นความเป็นตัวเองอย่างลึกซึ้ง และเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ภายในตนเองได้
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
บทสะท้อนจากเจ้าภาพห้องย่อย
บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ยังไม่ชัดเจน แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
“ถ้าคิดไว้ว่าน่าจะดี เดี๋ยวสิ่งดีก็ตามมา”
ข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปยังช่วงต้นของการริเริ่มห้องย่อยนี้ ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ณ เวลานั้นยังไม่มีภาพที่ชัดเจนว่าจะออกแบบห้องย่อยอย่างไร หรือควรจะร่วมมือกับใคร บางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาของการคลำหาทาง ทั้งในแง่ของแนวคิด รูปแบบ และพันธมิตร ดนตรีบำบัด ไม่ได้เป็นเพียงศาสตร์เพื่อการบำบัดรักษา แต่คือภาษาของความรู้สึก เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนให้กลับมาเข้าใจตนเอง และเป็นพื้นที่ที่ข้าพเจ้าเติบโตมากับมัน ด้วยประสบการณ์ ของการรับบทบาทของผู้ปฏิบัติงานและผู้ผ่านการเยียวยาด้วยดนตรี แค่เพียงตั้งคำถามว่า มันจะดีมากๆนะ ถ้ามีคนรับรู้ในสิ่งนี้ในเรื่องของ “ดนตรีบำบัด” อย่างถูกต้อง
เมื่อได้ทราบข่าวจากอาจารย์ที่สอนหลักสูตรดนตรีบำบัด ม.ขอนแก่น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ข้าพเจ้าเรียนจบมา ในเรื่องของการจะก่อเกิดงาน การประชุมวิชาการระดับชาติเครือข่ายความรู้สุขภาวะทางปัญญาครั้งที่ 2 “สุขภาวะทางปัญญา’68 : จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ ความหวัง” และยังเปิดรับผู้คนที่สนใจ มีประเด็นที่ต้องการนำเสนอ มาเป็นเจ้าภาพร่วม ข้าพเจ้าที่เคยมีภาพประสบการณ์จากการเคยเข้าร่วมงานแบบนี้ ทั้งงานประชุมวิชาการ และตัว Event ของงาน Soul Connect ครั้งที่ 1 ที่ผ่านมา จึงมีความมุ่งหวังเป็นอย่างดี ที่จะขอเข้าร่วม เป็นเจ้าภาพย่อย เพราะเราเห็นพลังความร่วมมือ ความน่าสนใจของงาน และภาคีเครือข่ายที่มากมายอยู่ทั่วทุกมุมของประเทศ ที่มารวมตัวกันอยู่ ณ ที่ตรงนั้นเมื่อครั้งที่แล้ว แต่หากว่าในครั้งนี้ มีข้อกำหนดที่ต่างออกไป ตามประเด็นของการจัดงาน
การตัดสินใจเข้าร่วมจัดห้องย่อยในช่วงท้ายของการเปิดรับในงานประชุมวิชาการครั้งนี้ จึงมาพร้อมกับความท้าทาย ตั้งแต่การหาเครือข่าย โดยเชื่อมงานกันเป็นคลัสเตอร์เชิงประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน กำหนดวัน เวลา สถานที่ ที่ต้องหาความลงตัว สุดท้ายด้วยความร่วมมือจากทีมผู้จัดหลัก พี่ๆให้คำแนะนำเป็นอย่างดี เราก็ได้รับพื้นที่และเวลาที่เหมาะสมตามเหตุและวาระอันสมควร
ในช่วงที่กำลังหารือเรื่องสถานที่ ข้าพเจ้าก็ได้เริ่มต้นขอคำปรึกษาจากอาจารย์และนักดนตรีบำบัด จึงก่อเกิดภาคีเครือข่าย คลัสเตอร์ที่จะช่วยขยับเรื่องของดนตรีบำบัด โดยมีทั้งสมาคมดนตรีบำบัด ประเทศไทย (TAMT) และต่อยอดไปยังสามสถาบันหลักทางวิชาการด้านดนตรีบำบัด 3 สถาบัน ได้แก่ (1) หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ดนตรี) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล (2) หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีบำบัด (หลักสูตรนานาชาติ/สหสาขาวิชา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ (3) หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีบำบัด บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยได้ตัวแทนมาจากที่ละ 1 คน แต่ทีมทำงานเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนมมีอีกหลายท่าน (ข้าพเจ้าขอขอบคุณจากใจ)
การพูดคุยเริ่มจากความเป็นไปได้ทางเทคนิค ค่อยๆขยับขยายกลายเป็นความร่วมมือทางหัวใจ ที่มีความต้องการในประเด็นที่สอดรับและสอดคล้องต่อกัน เราประชุมออนไลน์กันหลายรอบ เนื่องจากแต่ละคนอยู่คนละที เพื่อทำความรู้จัก ตกผลึก และกำหนดทิศทางที่เหมาะสม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงการได้ทีมงานมาร่วมจัดกิจกรรม แต่เป็นการพบผู้คนที่ “เข้าใจภาษาเดียวกัน” เชื่อในพลังของเสียงดนตรี เข้าถึงหัวใจของดนตรีบำบัด และแง่งามของสุขภาวะทางปัญญาเห็นคุณค่าของกันและกัน จึงช่วยเติมให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการร่วมงาน ขยายกลายเป็นสายใยของมิตรภาพและการเติบโตจากคนเพียงหนึ่งคนที่อยากจัดวงสนทนา ข้าพเจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมเล็กๆ ที่มีหัวใจใหญ่ภายใต้การดำเนินงานของสมาคม ดนตรีบำบัด ประเทศไทย (TAMT) ที่มาเป็นเจ้าภาพ (Host) ทั้ง 4 คนที่เป็นตัวแทน ประกอบด้วย ชลัช วรยรรยง (อุปนายก สมาคมดนตรีบำบัด ประเทศไทย และนักดนตรีบำบัดจาก Soulsmith), ดร. สมรรถยา วาทะวัฒนะ (นักดนตรีบำบัด (พิเศษ) รพ. จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และอาจารย์ประจำสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา), พญ.ภาวิดา วรวัชพาทิน (นักดนตรีบำบัดอิสระ และอาจารย์พิเศษหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีบำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และตัวข้าพเจ้า ไพฑูรย์ เพิ่มศิรินิวาส (นักดนตรีบำบัด และกระบวนกรอิสระจาก RealitySoul วิทยากรพิเศษสาขาวิชาดนตรีบำบัด บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น)
เราทั้ง 4 คน ได้ร่วมกันสร้างพื้นที่ที่ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมในตารางงาน แต่เป็นพื้นที่ของความหมายที่จะนำเสนอประเด็นต่างๆโดยครอบคลุมความต้องการที่จะ “สร้างพื้นที่เรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจดนตรีบำบัดอย่างถูกต้อง เชื่อมโยงกับการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญา และเอื้อต่อความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายเพื่อการเติบโตของมนุษย์ในระดับปัจเจกและสังคม” ช่วยกันออกแบบกระบวนการให้ออกมาคุ้มค่าตามช่วงเวลาที่เราได้มีในเวลา 2 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลักๆ อันได้แก่ เรื่องของสมาคมดนตรีบำบัด ประเทศไทย: การก่อตั้ง ความเป็นมา ทิศทางขององค์กร ความร่วมมือและประโยชน์ที่มีต่อไปในอนาคต ความรู้ความเข้าใจในดนตรีบำบัด การทำงานของนักดนตรีบำบัดโดยภาพรวม และดนตรีบำบัดกับการพัฒนาสุขภาวะด้านใน: นำเสนอให้เห็นในเรื่องของดนตรีบำบัดที่เข้าไปพัฒนาด้านใน ตามช่วงวัยต่างๆ ของมนุษย์ พร้อมนำเสนอรณีศึกษาที่เกี่ยวข้อง ว่าดนตรีบำบัดนั้นเข้าไปส่งเสริมหรือพัฒนาในมิตินี้ได้อย่างไร โดยทั้ง 4 คนมีการกำหนดบทบาทในการเป็นทั้ง ผู้ให้ความรู้ นำพากิจกรรม และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตน รวมถึงเป็นแรงงานในการช่วยขนอุปกรณ์และจัดเตรียมสถานที่
สิ่งที่ยากอีกเรื่องหนึ่ง ที่กว่าเราจะลงมติเห็นชอบกัน คือ ชื่อหัวข้อในการจัดห้องย่อย ว่าจะเป็นชื่ออะไรกันดีที่จะมีความน่าสนใจ ดึงดูด มีทั้งคำไทยและอังกฤษ มีความเป็นวิชาการแต่ก็ไม่ควรเป็นทางการจนเกินไป และอยากให้ทุกคนที่สนใจเข้าถึงได้ คิดกันมาหลากหลายชื่อ จนในที่สุดก็ได้ชื่อทีพวกเราเห็นพ้องต้องกัน ว่า “Therapeutic Harmony: ศาสตร์ดนตรีบำบัดกับการพัฒนาสุขภาวะด้านใน” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการกันหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเวลาและให้แต่ละคนไปทำการบ้านของตนเอง และพบกันอีกทีวันงาน ที่สามย่านมิตรทาวน์ ที่หมู่มิตรจะได้พบเจอกัน ข้าพเจ้าเองอดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว
บทที่ 2: วันของการแบ่งปัน
“สิ่งที่ผู้เข้าร่วมได้รับ อาจไม่ใช่แค่ความรู้ แต่คือประสบการณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจของตนเอง”
วันที่ห้องย่อย Therapeutic Harmony เปิดประตูต้อนรับผู้คน คือวันที่ความตั้งใจในแผนงานค่อยๆ กลายเป็นจริง เราทั้ง 4 คนเจอกันก่อนงานเริ่มประมาณหนึ่งชั่วโมง โดยที่ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าและสต๊าฟทีมผู้จัดหลัก ได้ประสานและเตรียมเรื่องห้องไว้ห่อนหน้านั้นแล้ว ห้องที่เคยถูกจองไว้บนกระดาษ กลับกลายเป็นสถานที่แห่งการรับรู้ เรียบง่าย ไม่มีเวที ไม่มีฉากหลังหรูหรา เราเพียงจัดเก้าอี้ให้เป้นวงกลม โดยที่นักดนตรีบำบัดทั้ง 4 คน หันหลังให้สไลด์ และหันห้ามาเจอกับผู้เข้าร่วมทุกคน โดยมีเครื่องดนตรีบำบัด เรียงรายอยู่ด้านใน
การตอบรับของผู้เข้าร่วมเกินกว่าที่คาดหมายไว้มาก ข้าพเจ้าและทีมงานหลักได้ทำการเปิดรับสมัครเพียง 2 รอบ แต่ภายในเวลาไม่กี่วันหลังเปิดประชาสัมพันธ์ ผู้สมัครก็เต็มได้โดยเร็ว บางคนขอให้มีการถ่ายทอดสด บางคน walk-in เข้ามาในวันจริง พื้นที่ที่ดูเหมือนจะกว้างในตอนแรก กลายเป็นห้องแน่นไปด้วยความสนใจ สิ่งที่น่าทึ่งคือความหลากหลายของผู้เข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นอายุ 17 ปี หรือผู้สูงวัยที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน วิชาชีพที่หลากหลายตั้งแต่ครู นักศึกษา นักกิจกรรม บุคลกรทางการแพทย์ พระสงฆ์ นักพัฒนาแอปฯ ไปจนถึงนักดนตรีบำบัดจากหลากหลายสถาบันที่เดินทางมาร่วมวงในครั้งนี้
กิจกรรมเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย ด้วยกระบวนการ Grounding — ให้ทุกคนได้หายใจ ฟังเสียงตนเองอย่างสงบ เสียงดนตรีเบาๆ ค่อยๆ คลอไปอย่างไม่เร่งเร้า เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ปรับคลื่นความคิดและความรู้สึกให้พร้อมฟังเสียงของตนเองและผู้อื่น จากนั้นจึงเข้าสู่การเสวนา โดยนักดนตรีบำบัดจาก 3 สถาบันและตัวแทนจากสมาคมดนตรีบำบัดประเทศไทย มาสร้างความเข้าใจร่วมกัน ว่าดนตรีบำบัดคืออะไร วิชาชีพนี้ทำอะไร และสมาคมฯ มีบทบาทอย่างไร อีกทั้งยังถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากสนามการทำงาน ทั้งการทำงานกับผู้สูงวัย เยาวชน เด็กพิเศษ หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยในระยะท้ายของชีวิต ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ว่าดนตรีบำบัดไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อความบันเทิง แต่คือกระบวนการที่ผ่านการวางแผน มีกรอบวิชาชีพ และสามารถประยุกต์ใช้กับกลุ่มต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้นำเสนอในด้านของวิชาการ การเรียนต่อดนตรีบำบัดในสถาบันต่างๆ ว่ามีข้อดีเป็นความเฉพาะด้านอย่างไร ในส่วนช่วงกิจกรรมภาคปฏิบัติ ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบเดี่ยวและกลุ่ม มีการใช้อุปกรณ์ทั้งเครื่องดนตรีที่เราคุ้นเคย และเครื่องดนตรีที่แปลกตาซึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อสร้างประสบการณ์ทางเสียงที่ต่างจากความคุ้นชิน และกระตุ้นการรับรู้ในระดับ การกระทำ อารมร์ความรู้สึก และความคิดของตนเอง มีกิจกรรมที่สอดแทรกงานบำบัดด้านอื่นๆ เช่น ศิลปะเข้ามาร่วมด้วย และยังมีช่วงที่นำเสนอกรณีศึกษาหนึ่งที่ถูกนำเสนอ คือกระบวนการดนตรีบำบัดกับกลุ่มวัยรุ่นด้อยโอกาส ผ่านการแต่งเพลงเพื่อสะท้อนและฟื้นฟูความภาคภูมิใจในตนเอง เด็กบางคนที่เคยรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า ได้เพลงและถ่ายทอดออกมา ถือเป็นคุณค่าที่งดงามและมีพลัง อีกกรณีหนึ่งคือการใช้ดนตรีบำบัดกับผู้ป่วยระยะท้ายและญาติผู้ดูแล กิจกรรมเช่นการฟังเพลงที่ชอบร่วมกันระหว่างผู้ป่วยกับคนที่รัก ทำให้เกิดบรรยากาศของการอยู่ร่วมอย่างมีความหมาย เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครต้องรีบร้อน ไม่มีใครต้องอธิบาย เพียงแค่ได้ "อยู่ด้วยกัน" อย่างเต็มใจ ก่อนวันที่จะจากกันจริงๆมาถึง
ในตอนท้ายของกิจกรรม เรามีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมได้ซักถามและสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมบางคนได้สะท้อนว่า ดนตรีบำบัดเปิดมุมใหม่ของการดูแลตนเอง การรับฟัง และการเห็นคุณค่าในสิ่งที่เป็นอยู่ แม้จะไม่เคยมีพื้นฐานทางดนตรีมาก่อน พวกเขาก็ได้ค้นพบว่า “เสียงของฉันมีความหมาย” และเสียงนั้นสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น และเปิดความเข้าใจในเรื่องของดนตรีบำบัดให้กว้างและลึกขึ้น มีบางคนชวนให้เราไปทำกิจกรรมดนตรีบำบัดกับกลุ่มของตนที่ดูแลอยู่ เช่น ในโรงเรียน กับผู้ต้องขัง เป็นต้น ขอบคุณทีมผู้จัดงานหลักให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสถานที่ การอำนวยความสะดวก และการดูแลหน้างาน แม้ผู้เข้าร่วมจะมีมากและเวลาจำกัด ทุกอย่างยังดำเนินไปด้วยความเรียบง่าย และเปี่ยมด้วยพลังของความร่วมมืออย่างแท้จริง ห้อง Therapeutic Harmony จึงไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมย่อยในงานประชุมวิชาการ แต่คือพื้นที่ที่ผู้คนได้กลับมาสัมผัส “สุขภาวะทางปัญญา” ผ่านเสียงดนตรี ความเงียบ ความดัง ความรู้สึก และความหมายของการอยู่กับตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ
บทที่ 3: ผลที่เกิดขึ้น – ความเข้าใจที่ก่อตัว และแนวโน้มความร่วมมือ
“เมื่อเสียงหนึ่งสั่นสะเทือน มันส่งแรงสั่นไปไกลกว่าที่ตาเห็น”
หลังจากกิจกรรมห้องย่อย Therapeutic Harmony จบลง ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น ทั้งในตัวผู้เข้าร่วม และในเครือข่ายของผู้ที่ทำงานด้านดนตรีบำบัด สิ่งที่ปรากฏอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงการซาบซึ้งทางอารมณ์หรือการเปิดพื้นที่ทางใจในความหมายเชิงสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่คือ การทำความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้นเกี่ยวกับศาสตร์ดนตรีบำบัด วิชาชีพ และบทบาทของนักดนตรีบำบัดในบริบทที่หลากหลาย ผู้เข้าร่วมหลายคนสะท้อนหลังจากกิจกรรมที่เข้ามาพบเจอกับพวกเราว่า พวกเขาเคยมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับดนตรีบำบัด บ้างเข้าใจว่าเป็นเพียงกิจกรรมบันเทิง บ้างคิดว่าเป็นการฟังเพลงเพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น แต่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งการฟังเสวนา การร่วมกระบวนการ และการซักถาม พวกเขาเริ่มเห็นว่าดนตรีบำบัดมีฐานทางวิชาการ เป็นศาสตร์ที่มีโครงสร้างและวิธีการเฉพาะ มีเป้าหมายเพื่อการเยียวยา การฟื้นฟู และการส่งเสริมสุขภาวะอย่างรอบด้าน และมีมาตรฐาน โดยนักดนตรีบำบัดมีความเป็นมืออาชีพจริง
กิจกรรมที่ออกแบบมาอย่างกระชับแต่หลากหลาย ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นภาพรวมของการทำงานของนักดนตรีบำบัด ทั้งในบริบทของโรงพยาบาล การทำงานกับเด็ก การทำงานกับผู้ใหญ่ ไปจนถึงกลุ่มเฉพาะ เช่น ผู้ป่วยจิตเวช ผู้สูงวัย หรือผู้ที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิต ความหลากหลายนี้ช่วยเปิดมุมมอง และทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถามต่อพื้นที่ของตนเองว่า "ดนตรีบำบัดจะมีบทบาทอย่างไรกับบริบทของเรา?" โดยยังระบุว่า เวลาที่มีมันอาจจะน้อยไปหรือเปล่า นอกจากนี้ กระบวนการบางช่วง เช่น การฟังเสียงเครื่องดนตรีเฉพาะ การหายใจร่วม และการสร้างเสียงในกลุ่ม แม้ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงลึกระหว่างผู้เข้าร่วม แต่กลับกลายเป็นช่องทางให้หลายคนได้ "ฟังเสียงของตนเอง" และรู้สึกถึงการเชื่อมโยงกับภายในในรูปแบบที่เงียบงามและไม่ต้องเอ่ยคำ
สำหรับข้าพเจ้า สิ่งที่เห็นและชัดเจนที่สุดคือ "การทำความเข้าใจที่ดีขึ้นในระดับสังคมที่กว้างขึ้น" ซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นจากจุดเล็กๆ จุดนี้ ดนตรีบำบัดในสายตาของผู้เข้าร่วมไม่ใช่เพียงภาพที่ดูแปลกใหม่อีกต่อไป แต่เริ่มถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่นำไปปรับใช้ได้จริง ทั้งในงานพัฒนาเด็ก การดูแลผู้ป่วย การสร้างชุมชน หรือแม้กระทั่งการดูแลตัวเอง ความร่วมมือระหว่างสมาคมดนตรีบำบัดฯ และ 3 สถาบันหลัก ได้รับการยืนยันว่ามีแนวโน้มจะต่อยอดไปสู่กิจกรรมร่วมในรูปแบบอื่นๆ เช่น การเสวนาออนไลน์ การออกบูธในงานที่เข้าถึงประชาชน หรือการสร้างเนื้อหาวิชาการที่สื่อสารเข้าใจง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งเป็นภาพที่เราอยากให้เกิดขึ้น
เมื่อมองย้อนกลับไป ความตั้งใจของการประชุมวิชาการในปีนี้ ที่เน้น "จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง" นั้นได้สะท้อนผ่านกิจกรรมห้องย่อยนี้ในมิติของการให้ความรู้ที่มีความหมาย การเชื่อมโยงผู้คนให้เห็นคุณค่าของศาสตร์ใหม่ และการวางเมล็ดพันธุ์ของการเติบโตเชิงวิชาชีพและสังคมในอนาคต แม้จะไม่มีการเปิดพื้นที่ทางใจในลักษณะของการเล่าเรื่องส่วนตัวหรือการสะท้อนร่วมระหว่างผู้เข้าร่วม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "การรับฟังเสียงของตัวเองผ่านกระบวนการดนตรีบำบัด" ที่เราได้มอบให้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทรงพลังของการเปลี่ยนแปลงจากภายในท้ายที่สุด ความเชื่อใหม่ที่ก่อตัวจากวันนั้นว่า"เมื่อผู้คนเข้าใจอย่างถูกต้อง เสียงของศาสตร์หนึ่งจึงไม่ใช่แค่ความรู้ แต่กลายเป็นความหวัง ที่มีชีวิต และมีที่ทางในสังคม" ต้องขอขอบคุณงานประชุมวิชาการระดับชาติเครือข่ายความรู้สุขภาวะทางปัญญาในครั้งนี้ ที่เป็นจุดตั้งต้นให้กับพวกเรา ในฐานะของสมาคมดนตรีบำบัด ประเทศไทย ได้ต่อยอดกันต่อไป
บทที่ 4: ข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ต่อสังคมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
“แล้วยังไงต่อกันดี”
จากบทเรียนและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องย่อย Therapeutic Harmony ข้าพเจ้าขอแบ่งปันข้อเสนอในฐานะความปรารถนาและแนวทางที่อยากเห็น เพื่อให้ศาสตร์ดนตรีบำบัดสามารถดำเนินต่อไปอย่างมีความหมาย และมีบทบาทในการสร้างสุขภาวะร่วมกันในระดับสังคมได้อย่างแท้จริง สิ่งที่เห็นได้ชัดจากกิจกรรม คือผู้เข้าร่วมจากหลากหลายสาขาเริ่มเข้าใจศาสตร์ดนตรีบำบัดอย่างถูกต้องมากขึ้น ทั้งในแง่ของวิชาชีพ กระบวนการ และบริบทที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน โรงพยาบาล พื้นที่ชุมชน หรือแม้แต่ในแพลตฟอร์มดิจิทัล สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าศาสตร์นี้กำลังก้าวออกจากขอบเขตของผู้เชี่ยวชาญสู่การรับรู้ของสังคมโดยรวม ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ความปรารถนาที่กลุ่มของพวกเราอยากเห็นในภาพรวมคือ การที่ศาสตร์ดนตรีบำบัดจะได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งในด้านการเผยแพร่ความรู้ การสร้างพื้นที่ทดลอง และการขับเคลื่อนในเชิงนโยบาย เพื่อให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง เข้าใจ และมองเห็นความเป็นไปได้ในการนำศาสตร์นี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันหรือในงานของตนเอง ผ่านการแนะนำจากนักดนตรีบำบัดวิชาชีพ อาจเป็นไปได้ว่า สมาคมดนตรีบำบัด ประเทศไทย และเครือข่ายสถาบันการศึกษาด้านดนตรีบำบัดทั้ง 3 แห่ง จะสามารถร่วมกันจัดทำสื่อการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่าย จัดกิจกรรมที่เปิดกว้างสำหรับสาธารณะ หรือแม้แต่จัดเวทีแลกเปลี่ยนข้ามสาขาระหว่างนักดนตรีบำบัด ครู นักพัฒนา และผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาวะอื่น ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในหลากหลายบริบท อาจมีบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนหรือผู้ริเริ่มพื้นที่นำร่องที่บูรณาการดนตรีบำบัดเข้ากับการดูแลผู้คน เช่น ในสถานสงเคราะห์ โรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้แต่ในเรือนจำ หากมีการออกแบบร่วมอย่างระมัดระวังและเข้าใจในบริบทอย่างแท้จริง
ในระยะยาว ดนตรีบำบัดอาจกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน "สุขภาวะทางปัญญา" ของสังคมไทย ไม่ใช่เพียงในมิติของการบำบัดรักษา แต่ในฐานะกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการตระหนักรู้ภายในตนเอง การสร้างสมดุลทางอารมณ์ และการพัฒนาทักษะการฟังอย่างลึกซึ้งซึ่งเป็นพื้นฐานของสันติภาพในระดับบุคคลและสังคม ความร่วมมือในลักษณะนี้อาจยังไม่เกิดขึ้นทันที แต่อย่างน้อยที่สุด การได้มีโอกาสแสดงให้เห็นว่า "เสียง" และ "การฟัง" สามารถเป็นเครื่องมือของการดูแลเยียวยาได้นั้น คือจุดเริ่มต้นที่มีความหมาย
และเมื่อมองไปยังปีข้างหน้า คำถามที่เราหยิบยกคือมา ถามเป็นประเด็นสำคัญ ได้แก่:
หากเราจะเปิดห้องนี้อีกครั้งในอนาคต เราจะทำอย่างไรให้ลึกขึ้น เข้าถึงยิ่งขึ้น?
เราจะสานสัมพันธ์ภายในวิชาชีพให้แข็งแรง มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และต่อเนื่องได้อย่างไร?
เราจะเชื่อมโยงกับคนภายนอก ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน และภาคีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในระดับไหน?
เราจะไม่หยุดแค่ “เรา” (สมาคมฯ และ 3 สถาบัน) แต่จะขยาย “เรา” ให้เป็นพื้นที่ร่วมของผู้มีหัวใจเดียวกันได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้อาจยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในตอนนี้ แต่ข้าพเจ้าหวังว่า การได้ตั้งคำถามร่วมกัน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอย่างอ่อนโยนและมั่นคง “ให้ดนตรีบำบัด ไม่ใช่เรื่องของงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เพื่อเยียวยาตน ฟังกันและกัน และก้าวสู่การมีสุขภาวะที่ดีร่วมกันในสังคมไทย”
Comments