T1-11 | เสวนา “ดัชนีสุขภาวะทางปัญญาของสังคม: บทเรียนของการแก้ทุกข์-สร้างสุขของชุมชน”
- Jitwiwat
- May 2
- 2 min read
Updated: Jun 5
2 มี.ค. 68 10:00-12:00 น. ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์
เจ้าภาพ : รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง ผู้อํานวยการหลักสูตรกระบวนทัศน์ใหม่ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
นําเสวนา : รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง, ศิวโรฒ จิตนิยม ประธาน อสม.และธนาคารความดี ต.หนองสาหร่าย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี และ โชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองกลางดง อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
จากความพยายามพัฒนาวิธีคิดและเครื่องมือบ่งชี้สุขทุกข์ของสังคม หรือ “ดัชนีสุขภาวะทางปัญญา” เวทีนี้นำเสนอประสบการณ์จริงจากชุมชนเล็กๆ ที่ยืนหยัดในวิถีทางการเผชิญทุกข์ด้วยปัญญา ด้วยการวิเคราะห์ทุกข์ มองหาเหตุปัจจัย ช่วยกันแสวงหาทางออก และสร้างตัวชี้วัดระหว่างทาง เพื่อสร้างการเรียนรู้และเติบโตในกระบวนการแก้ทุกข์ เปลี่ยนการเผชิญทุกข์เป็นความปีติสุขและการเติบโตทางปัญญา เปลี่ยนผู้ใช้ตัวชี้วัดจากคนนอกมาสู่ชุมชนที่เป็นเจ้าของชีวิต ซึ่งสามารถเป็นทางเลือกสำคัญในการสร้างดัชนีสุขภาวะทางปัญญาของสังคม
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ
ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม
สรุปใจความสำคัญ
ในเสวนา “ดัชนีสุขภาวะทางปัญญา” ผู้เข้าร่วมได้รับการนำเสนอแนวคิดและการประยุกต์ใช้ดัชนีสุขภาวะทางปัญญาในสังคม เพื่อเป็นเครื่องมือชี้วัดคุณภาพของสังคมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาในด้านต่างๆ โดยไม่เพียงแค่การวัดผลในด้านตัวเลข แต่เป็นการสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรมและสังคม เช่น ความรักชาติ ความรับผิดชอบ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งสามารถนำมาสู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ตัวอย่างจากหมู่บ้านหนองสาหร่ายและหมู่บ้านหนองกลางดง แสดงให้เห็นถึงการนำดัชนีนี้ไปใช้จริงในการพัฒนาโครงสร้างและระบบต่างๆ ของหมู่บ้านเพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาวะทางปัญญาและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
กิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วยการบรรยายและการนำเสนอผลงานจากหมู่บ้านต้นแบบ โดยมีการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ดัชนีสุขภาวะทางปัญญาในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชน ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ว่าเมื่อคนในชุมชนมีความรับผิดชอบและคุณธรรมที่ดี สุขภาวะทางปัญญาของสังคมนั้นๆ ก็จะดีตามไปด้วย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่สงบสุขและเจริญก้าวหน้า
นอกจากนี้ การใช้ดัชนีสุขภาวะทางปัญญายังส่งผลต่อการสร้างความร่วมมือในชุมชน เมื่อทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำและสมาชิกในชุมชน ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและทะเลาะวิวาทในชุมชนได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนผู้นำ การที่ผู้นำใหม่สามารถสานต่อวิสัยทัศน์และระบบที่ดีจะช่วยให้ดัชนีสุขภาวะทางปัญญายังคงดำรงอยู่และมีผลดีต่อสังคมต่อไปในระยะยาว
การฝึกฝนการฟังและการใช้ดัชนีสุขภาวะทางปัญญายังส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญาและจิตวิญญาณของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านมีหนทางในการแก้ไขปัญหาและมีความสุขในชีวิตมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและความร่วมมือที่ยั่งยืนในชุมชน
ปัญญาคือการใช้เหตุผลเหตุผลความคิดที่ต่างจากอารมณ์ความรู้สึกปัญญากับจิตในความหมายของอารมณ์ กำหนดกัน จิตสงบเกื้อปัญญา ปัญญาสว่างชัด กำหนดจิตโล่ง โปร่ง เบา เบิกบาน
ปัญญาสังคมแสดงออกผ่านกรรมหรือการกระทำ ทางกาย วาจา ใจ ในการดำเนินชีวิต / เผชิญทุกข์ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย กิน อยู่ หลับ นอน)
ปัญญากับสุขภาพวะทางจิตเป็นเหตุและผลแก่กัน จิตที่ผ่อนคลาย โปร่งโล่ง เบาสบาย ไม่บีบคั้นก็ควรให้เกิดปัญญาที่บอกเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง นั่นหมายถึงความจริงที่เหนือการให้คำนิยามหรือความหมายแบบโลกโลก ในทางกลับการปัญญาที่ชัดเจนในความจริงก็ส่งผลถึงการวางจิตใจที่ถูกต้องเกิดการเบาสบายปล่อยวาง เบิกบาน
ดัชนีสุขภาพภาวะทางปัญญาสามารถสื่อถึงสุขทุกข์อุณหภูมิชีวิตของสังคม ตัวบ่งชี้สุขภาพวะทางปัญญาในสังคมมี สามระดับ ได้แก่ พฤติกรรม / การกระทำ อันเป็นเหตุ ผลคือ อาการสุขทุกข์ทางกายใจของผู้คน โดยมีระบบโครงสร้างอันเป็นเงื่อนไขปัจจัยเอื้อกำหนด
“การเรียนรู้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับโลกชีวิตทั้งหมดทำให้เห็นทางออก เห็นการที่จะปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ทั้งหลายได้ถูกต้องวางใจได้ถูกต้อง เมื่อเราเห็นทางออกรู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรวางใจต่อสิ่งต่าง ๆ ต่อโลกและชีวิตอย่างไรทำให้เกิดปลอดโปร่งโปร่งใสโล่งขึ้นมาจนกระทั่งถึงภาวะอิสรภาพสูงสุด”
ผู้เขียน ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68
สะท้อนและทบทวนการเข้าร่วมกิจกรรม
กิจกรรมครั้งนี้ใช้ผลงานการศึกษาชิ้นหนึ่งที่เป็นความพยายามในการตอบโจทย์ของสำนักงานกองทุนเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) ในการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า เครื่องมือวัดความสุขทุกข์หรืออุณหภูมิของสังคม หรือดัชนีสุขภาวะทางปัญญา อันที่จริงแล้ว หากคิดแบบคนทั่วๆไป การจะสร้างตัวบ่งชี้ความสุข ทุกข์ของสังคม ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร เพราะความสุขทุกข์ของสังคมมีให้เห็นได้ชัดเจน หลายมิติ หลากแง่มุม หากสังคมใด มีผู้คน ต้องอดอยากยากแค้น เกิดการเบียดเบียน ปล้นสะดม แย่งชิง เจ็บป่วย ล้มตาย ฯลฯ ก็บอกได้ชัดว่าสังคมนั้นเต็มไปด้วยวิกฤต หากสังคมใดเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง เอารัดเอาเปรียบ เกิดความไม่เป็นธรรม ผู้คนถูกข่มเหงรังแก ถูกมอมเมา ด้วยค่านิยมผิดๆ ฯลฯ ก็เป็นอาการแห่งวิกฤตเช่นเดียวกัน ในยุคสมัยปัจจุบัน ทุกข์ของสังคมอาจจะบอกได้ไม่ชัดเจน เพราะถูกเคลือบแฝงไว้ด้วยมายาคติของคำว่าการพัฒนาหรือความทันสมัย เช่น คำว่าการอยู่ดีกินดี ทำให้สังคมมีการกินใช้อย่างฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย การติดยึด หลงใหล ในวัตถุ จนทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย ซัดส่าย ไร้ความสงบเย็น กลายเป็นความทุกข์ด้านในที่แสดงออกด้วยโรคภัย เช่น ความเครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ และการใช้ยาเสพติด เป็นต้น
เวทีการพูดคุย ใช้รูปแบบการนำเสนอผลจากการสังเคราะห์เอกสารและข้อมูลระดับชุมชน ยังมีการเชิญปราชญ์ชาวบ้าน 2 ท่าน คือผู้ใหญ่ โชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ จากบ้านหนองกลางดง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพี่ศิวโรฒ จิตนิยม จากบ้านหนองสาหร่าย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี มาร่วมแลกเปลี่ยน มีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังในเวทีสนทนา ประมาณ 15 คน
หัวข้อการสนทนาในครั้งนี้ โดยเนื้อหาต่างจาก กิจกรรมส่วนใหญ่ของงาน Soul Connect Fest เนื่องจากเป็นเรื่องการสร้าง ดัชนี หรือตัวบ่งชี้ สุขภาวะทางปัญญาในระดับสังคม ที่ดูเป็นเรื่องวิชาการ เป็นการคิดวิเคราะห์ หรือใช้ฐานหัว ไม่ใช่ฐานใจที่เป็นเรื่องของความรู้สึก จิตใจ หรือมิติด้านใน จึงมีคนสนใจน้อย รวมทั้งอาจเพราะมีกิจกรรมห้องอื่นๆที่มีความน่าสนใจหรือดึงดูดใจมากกว่า
ในมุมของคนจัดงาน เจตนาหรือเนื้อหาสำคัญอยู่ที่การเสนอแนวความคิดว่าด้วยการสร้างดัชนีวัดสุขภาวะทางปัญญาระดับสังคม มีแก่นแกนสำคัญคือ การชวนกลับไปทบทวน ตรวจสอบความหมายของคำว่า สุขภาวะทางปัญญา ที่เป็นคำที่มีพัฒนาการมาจากการเทียบเคียงกับคำว่า spiritual health ในภาษาอังกฤษ ด้วยทัศนะที่ว่า ตัวบ่งชี้ ต้องเริ่มต้นที่ความชัดเจนในความหมาย ในงานนี้ชี้ว่าความหมายที่แท้ของคำว่าจิตและปัญญา มีความหมายที่ซับซ้อน เมื่อมองคำเดิมในภาษาบาลี และ คำอื่นๆในภาษาอังกฤษ ซึ่งแต่ละคำมี ความหมายที่ยึดโยงกับบริบททางประวัติศาสตร์และศาสนาที่แตกต่างกัน โดยได้อ้างอิงงาน ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ว่าความหมายที่แท้ของปัญญา ในรากศัพท์เดิมคืออะไร ความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับปัญญา ในฐานะเป็นอาการ ของจิต หรือเจตสิก และความสัมพันธ์ระหว่าง ปัญญา กับ สภาวะ ของ อารมณ์หรือ จิตใจ ฯลฯ ที่สำคัญก็คือการนำเสนอประสบการณ์ของชุมชนในประเทศไทยที่ใช้กระบวนการทางปัญญาในการจัดการกับวิกฤติของชุมชน ซึ่งผลผลิตสำคัญในประสบการณ์เหล่านี้ก็คือ การสร้างตัวบ่งชี้ทิศทางเป้าหมายและผลสำเร็จของการขับเคลื่อนงาน ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับคำว่า การสร้างดัชนีสุขภาวะทางปัญญาในระดับสังคมที่พูดกัน
สาระสำคัญของการนำเสนองานในครั้งนี้ คือ
จะวัดสุขภาวะทางปัญญา ต้องกลับไปที่เป้าหมายและเจตนาตั้งต้น โดยภาษา “สุขภาวะทางปัญญา” มีความหมายที่กว้างไกล ลึกซึ้งกว่า spiritual health “สุขภาวะทางปัญญา” มีความหมายได้ถึง “ปัญญา ทางสุขภาวะ” หรือปัญญาในการเห็นความจริงตามธรรมชาติ ธรรมดาของชีวิต การเจ็บป่วย การตาย เป็นการเกิดสติปัญญา ที่นำไปสู่การวางท่าที วางจิตใจต่อชีวิตและสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้อง
การสร้างดัชนีสุขภาวะทางปัญญา ควรเป็นเรื่องของการใช้หลายเครื่องมือหลายวิธีการ มิใช่เป็นตัวชี้วัด เดี๋ยวสำหรับคนภายนอกใช้วัดคนอื่น คำว่าปัญญา มีความหมายได้ 3 มิติ คือ ตัวปัญญาอันหมายถึงความรู้ความเข้าใจในความจริง การใช้ปัญญา หมายถึงการสัมพันธ์กับธรรมชาติ ชีวิตและสิ่งแวดล้อมการเผชิญกับปัญหา และการป้องกันปัญหามิให้เกิดขึ้นด้วยปัญญา ด้วยท่าทีหรือการวางจิตใจตลอดจนการปฏิบัติที่เป็นไปตามความรู้ความเข้าใจในความจริง และหมายถึงการสร้าง/พัฒนาปัญญา อันหมายถึงการเรียนรู้ เติบโต ได้ความรู้ความเข้าใจในโลกและความเป็นจริง ดังนั้นสุขภาวะทางปัญญาจึงต้องไม่ถูกมองอย่างหยุดนิ่ง หรือเป็นสภาวะจิตอุดมคติ แต่มองในฐานะการเรียนรู้ การเติบโต และการพัฒนา ดังนั้น สุขภาวะทางปัญญาควรเป็นเครื่องมือ หรือกระบวนการที่แทรกผสานเป็นวิถีชีวิตในทุกระดับของบุคคลครอบครัวชุมชนองค์กรและสังคมใหญ่ เป็นการใช้ปัญญาพัฒนาปัญญาและเกิดปัญญา ซึ่งจะมีผลถึงสภาวะของจิตที่พัฒนาเรียนรู้ เติบโต เปลี่ยนจากความบีบคั้น กดดัน ขุ่นมัว หรือความทุกข์ ไปสู่ความเบา สบาย โปร่งโล่ง เบิกบาน และเป็นอิสระ
ตัวบ่งชี้สุขภาวะทางปัญญา (การมีปัญญาทางสุขภาพ) เป็นภาพสะท้อนการมีและใช้ปัญญาแก้ทุกข์ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ด้านใน ซับซ้อน จึงไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกระบวนการและบริบท ไม่ควรเป็นอะไรที่เป็นสิ่งเดียว มีความหมายเดียว มีเครื่องมือแบบเดียว และเป็นสิ่งที่คนภายนอกใช้ในการวัดประเมินผู้อื่น ดัชนีสุขภาวะทางปัญญาควรมีลักษณะเป็นกระบวนการ เป็นวิธีคิด และเครื่องมือที่ถูกนำไปปรับใช้ ผสานรวม แทรกในชีวิตในทุกมิติและทุกระดับของสังคม
ตัวบ่งชี้สุขภาวะทางปัญญาหรือปัญญาทางสุขภาพ ควรสนับสนุน/ส่งเสริม ให้เป็นแกนกลางของการใช้ชีวิตของสังคมในทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน องค์กร หรือเครือข่าย เพื่อใช้ในการประเมิน ติดตามเฝ้าระวังรูปแบบและทิศทางการใช้ชีวิต ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เติบโตและพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น มีสุขภาวะมากขึ้นหรือทุกข์น้อยลง โดยมีรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย ตามบริบทหรือเงื่อนไขชีวิต
การสร้างพื้นที่ให้ชุมชนองค์กรหรือเครือข่ายทางสังคมได้มีการวิเคราะห์ประเมินความสุขทุกข์ที่เผชิญอยู่วิเคราะห์สาเหตุ และหาทางออกด้วยกระบวนการทางปัญญาอย่างแท้จริง (แทนการรับเอานิยามความหมายและแนวทางการแก้ปัญหาจากภายนอก) เพื่อหาคำตอบและสร้างตัวบ่งชี้เป้าหมายและเครื่องมือกำกับการดำเนินชีวิต บนพื้นฐานการร่วมเรียนรู้ของสมาชิกในองค์กรหรือชุมชน โดยวิธีการเหล่านี้สุขภาพทางปัญญาและตัวบ่งชี้จะกลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสู่สุขภาวะที่เกิดผลอย่างแท้จริง
การสร้างตัวชี้วัด ที่สุดควรมีลักษณะเป็นกระบวนการ ที่จะทำให้เกิดการทบทวน ตื่นรู้ในสิ่งที่ละเลย มองข้ามไปในการสร้างสุขภาวะให้กับผู้คนและสังคม นั่นก็คือมิติของจิตใจ ดังนั้นเป้าหมายของการสร้างตัวชี้วัดหรือตัวบ่งชี้สุขภาวะทางปัญญาจึงต้องระวังที่จะไม่ตกไปอยู่ในกับดักเดิม คือการใช้ทัศนะแบบกลไกจำกัด แต่มองไม่เห็นความเป็นจริงอันสลับซับซ้อนของความเป็นองค์รวมของสุขภาพ ด้วยฐานคิดดังกล่าวนี้ คำว่าสุขภาพทางปัญญา และตัวบ่งชี้จึงควรเน้นที่แก่นหรือสาระมากกว่ารูปแบบ
สะท้อนภาพการจัดเวที
บรรยากาศโดยรวมการจัดเวทีนับว่าน่าสนใจพอควร ประสบการณ์ของชุมชนที่นำเสนอโดยผู้นำชุมชนทั้ง 2 พื้นที่ได้รับความสนใจ และสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมเวที ส่วนเนื้อหาที่นำเสนอทั้งหมด ก็สามารถเน้นกระชับไปยังหัวใจของประเด็นได้อย่างน่าพอใจ
แต่สิ่งที่น่าสนใจ สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ก็คือจำนวนผู้เข้าร่วมรับฟัง ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก (ประมาณ 15 คน เทียบกับผู้ที่ลงทะเบียนประมาณ 30 คนเศษ) ต้องใช้เวลารอคอยเพื่อชักชวนคนให้เข้าร่วมเวทีนานพอสมควร เมื่อสอบถามจากผู้ที่รับผิดชอบการจัดงาน ได้ยินเสียงสะท้อนว่าในงานครั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ มิติด้านในมากกว่าเรื่องราวทางสังคมภายนอก การจัดเวทีในห้องอื่นที่มีเนื้อหาคล้ายกันก็จะมีคนเข้าร่วมน้อยเช่นเดียวกัน ปรากฏจากการนี้อาจจะด้วยหลายเหตุ หลายปัจจัย เช่น มีเวทีที่น่าสนใจ จัดในเวลาเดียวกัน หรือผู้ที่ สนใจลงทะเบียน เข้ารวมไว้แล้วเกิดการเปลี่ยนใจ ฯลฯ
ในทัศนะของผู้จัดเวที ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการทำงานทางความคิดและตั้งคำถาม ไปถึงรากฐาน ความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่ เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่อาจมองไม่เห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญ หลายคนหลายองค์กร อาจจะมีความเชื่อว่า เรื่องราวของสุขภาวะทางปัญญา มีบทสรุปที่ชัดเจนแล้วว่าหมายถึงอะไร สำคัญอย่างไร และจะต้องดำเนินการต่อไปแบบไหน มีความจำเป็นน้อยที่จะต้องนั่งถกเถียง ทำความเข้าใจกัน แต่ลงมือปฏิบัติการแล้วใช้การปฏิบัติเป็นเครื่องมือในการตกผลึกทางความคิด ในฐานะของผู้จัดเวที มองเห็นว่าทัศนะหรือบทสรุปดังกล่าวจำเป็นต้องถูกตั้งคำถาม ทบทวนอย่างมาก ว่ากันถึงที่สุด วิกฤตในสังคมสะท้อนให้เห็นถึงความขาดพร่องในมิติของจิตใจที่สะท้อนด้วยอาการของปัญหาต่างๆมากมาย เช่น ภาวะซึมเศร้า ความรุนแรง การฆ่าตัวตาย ฯลฯ เป็นอาการปรากฏที่สะท้อนถึงวิกฤติของโลกด้านในของผู้คนและสังคม หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นวิกฤติทางปัญญาในการมองเห็นและเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงของชีวิต โลก และธรรมชาติ จนเกิดเป็นความคับข้องใจ บีบคั้น เกิดการเบียดเบียนกัน ทั้งต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นปรากฏการณ์ของยุคสมัย ที่มิใช่ปัญหาทางเทคนิค กล่าวอย่างถึงที่สุด เรายังทำความเข้าใจ ในความหมายของคำที่เราใช้คือคำว่า ปัญญา ยังไม่มากเพียงพอ และการทำความชัดเจนในเรื่องนี้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคม ให้เกิดปัญญาในการสร้างสุขภาวะ ให้กับตนเอง ครอบครัว สังคม และมนุษยชาติ
Comentarios