top of page

T1-1 | เสวนา “Spiritual Tourism หนทางใหม่สู่การเยียวยา”

Updated: May 24

27 ก.พ. 68 13:00-15:00 น.  ห้องประชุม 2-3 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

เจ้าภาพ :  ศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา

นำเสวนา :  นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว และ สุภาพ ดีรัตนา


เปิดประสบการณ์สำคัญจากผลงานสำรวจวิจัยแรมปีของสองนักเดินทางทางจิตวิญญาณ ผสานการเดินทางท่องเที่ยวเข้ากับการจาริก เพื่อเยียวยากาย ใจ และจิตวิญญาณ ให้ผู้คนกลับสู่จุดสมดุลท่ามกลางโลกยุคใหม่ที่สับสน “นิพัทธ์พร” นำทีมสำรวจแหล่งท่องเที่ยวยุคก่อนประวัติศาสตร์ในไทยที่พลังงานศักดิ์สิทธิ์จากผืนโลกยังปรากฏชัด และเปิดประตูมิติไปเชื่อมต่อกับภูมิปัญญาโบราณของแผ่นดิน ขณะที่ “สุภาพ” ใช้พลังของการสะท้อนกลับ เชื่อมโยง และต่อยอดองค์ความรู้ที่ค้นพบ เข้ากับอารยธรรมโลกและภูมิปัญญาร่วมของมนุษยชาติ



ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบย่อ


ชมคลิปบันทึกเสวนาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


นำเสนอแนวทางในการฟื้นฟูสุขภาวะทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ  โดยอาศัยการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมิติที่สูงขึ้นไป ด้วยการเดินทางท่องเที่ยวเข้าไปยังพื้นที่ (โบราณสถานหรือสถานที่ธรรมชาติ) แห่งพลังงานนั้น   อีกทั้งเชื่อมโยงไปสู่ความหมายของการเดินทางในสมัยโบราณที่เรียกว่า การจาริกแสวงบุญ

 

เนื่องด้วยคนยุคปัจจุบันประสบกับปัญหาความป่วยไข้ทั้งทางกายและใจ โดยเฉพาะความป่วยไข้ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค (เช่น โรคซึมเศร้า) ซึ่งเรียกว่าโรคทางจิตวิญญาณ  โรคทางจิตวิญญาณอาจรักษาได้ด้วยธรรมโดยยอมรับความไม่แน่นอนของชีวิต  กระนั้น การจะให้คนเข้าถึงธรรมได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเดินทางท่องเที่ยวอาจทำได้ง่ายกว่า  ดังนั้น การท่องเที่ยวที่มีมิติจิตวิญญาณจึงสามารถเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเยียวยาผู้คน โดยอาศัยการเชื่อมต่อกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์และการมีสติตระหนักรู้

 

ผู้นำเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและบรรยายถึงความสำคัญของพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับสถานที่ที่มีพลังงานสูง (Power Spot) โดยอ้างอิงกับค่าพลังงานในแผนภาพ Map of Spirituality ของ Mindo Damalis  รวมถีงการนำพลังงานศักดิ์สิทธิ์ไปใช้เยียวยาจิตใจและชำระล้างพลังงานลบ   นอกจากนี้ ยังได้บอกเล่าเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงไปสู่อารยธรรมโบราณ ปรัชญา คุณค่า ความหมาย และพลังงานศักดิ์สิทธิ์อันอุดมไปด้วยรหัสยภาวะ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกซึ่งมีความเกี่ยวพันถึงกันหมด

 

ผู้นำเสวนาอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ (การวัดค่าพลังงาน)  ประสบการณ์ส่วนตัว และผลงานของนักวิจัยที่เกี่ยวข้องมารองรับ  ร่วมกับการใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภูมิปัญญาโบราณ และจักรวาลวิทยา 

  • พื้นที่พลังงานเป็นสถานที่ที่มีพลังงานสูง สามารถช่วยเยียวยาจิตใจ และส่งเสริมการพัฒนาทางจิตวิญญาณดั้งเดิมมนุษย์ใช้วิธี เช่น การถือศีล การบำเพ็ญภาวนา และการปฏิบัติสมาธิ เพื่อช่วยให้รับพลังงานได้มากขึ้น ขณะที่ในปัจจุบัน เราอาศัยการดูแลตัวเองเรื่องอาหารการกิน โดยรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูง (เช่น ผักผลไม้) และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานต่ำ (เช่น อาหารแปรรูป)

  • หลักฐานจากอดีตแสดงให้เห็นว่ามนุษย์รู้จักสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณ เช่น ภาพเขียนบนผนังถ้ำ การสร้างศาสนสถาน และเรื่องเล่าต่าง ๆ

  • วิธีดั้งเดิมในการระบุพื้นที่พลังงาน ได้แก่ การใช้สัมผัสพิเศษของพระ ฤาษี หมอผี หรือผู้มีญาณพิเศษ ส่วนในปัจจุบัน มีการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เพนดูลัม และวิธีการวัดคลื่นพลังงาน เพื่อระบุพื้นที่พลังงานสูง

  • ผู้จาริก (Pilgrim) แปลว่า คนพลัดถิ่น คนแปลกแยก ที่ไม่คุ้นเคยกับที่ที่ตนอยู่ จึงต้องออกเดินทางเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตนจะมีความคุ้นเคยด้วยได้ นั่นคือการกลับบ้าน เพื่อให้ตัวตนที่จริงแท้และตัวตนที่แท้จริงได้กลับมาใกล้กันมากที่สุด

  • การจาริกแสวงบุญ (Pilgrimage) จึงเป็นการเดินทางเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณและเชื่อมต่อกับพลังงานสูง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปไหว้พระธาตุในไทย หรือการเดิน Camino de Santiago ในยุโรป

 

“วิหารภายนอกสะท้อนวิหารภายใน การกลับสู่ภายในตนเอง สู่คัพภคฤห

คือการกลับสู่วิหารของพระเจ้า คือการกลับบ้าน (Homecoming)  อันเป็นสากล เป็นอธิสารของโลก”

 

สิ่งสำคัญคือ ได้รู้ว่าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผลต่อการเยียวยารักษานั้นอยู่ที่ไหนบ้าง  การได้เดินทางไปยังสถานที่เหล่านั้นจึงเป็นโอกาสที่เราจะได้จาริก พัฒนาจิตวิญญาณ ชำระล้าง และเยียวยาจิตใจ ร่วมกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของที่นั่น  ดังนั้น การเข้าถึงสถานที่ที่เป็น Power Spot จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการช่วยดูแลและพัฒนาจิตวิญญาณของคนในยุคปัจจุบันได้

 

คุณค่าที่ได้รับคือการมีทางเลือกที่เป็นไปได้ในการสร้างสุขภาวะทางจิตวิญญาณของคนในยุคปัจจุบัน ช่วยให้เรารู้วิธีที่จะเยียวยาตัวเอง เชื่อมโยงกับตนเอง และยกระดับการตระหนักรู้ ด้วยการเปิดมุมมองที่จะกลับไปเชื่อมโยงกับรากเหง้าของตัวเราเองอย่างลึกซึ้ง ผ่านการออกเดินทางเพื่อไปรู้จักกับสถานที่ ชุมชน และอารยธรรมของมนุษย์

 

การท่องเที่ยวกลับกลายเป็นการทำงานภายใน  เป็นการได้รับอีกความหมายหนึ่งของชีวิต

นั่นคือการเปี่ยมเต็มขึ้นของจิตวิญญาณของเราเอง



ผู้เขียน  ทีมจัดการความรู้ สุขภาวะทางปัญญา' 68






บทสะท้อนจากการทำงานวิจัย SPIRITUAL TOURISM


ที่มาของงานวิจัย

 

การมาทำงานวิจัยครั้งนี้เกิดจากเพื่อนรักรุ่นน้อง คือคุณจารุปภา วะสี ที่ได้แลกเปลี่ยนสนทนาในเรื่องจิตวิญญาณ และพัฒนาการทางจิต การใช้ intuition ในการสัมผัสโลก ติดต่อกับพลังงาน ติดต่อกับเทพ ซึ่งเป็นภาวะปกติในชีวิตของดิฉัน เมื่อน้องกี้ (จารุปภา) มาชวนให้ทำงานวิจัย จึงคิดว่า น่าจะเป็นเวลาเหมาะสมที่จะนำเสนอเรื่องที่เคยถูกมองว่างมงาย เพี้ยน ฟุ้งซ่าน บ้า เพ้อเจ้อ ต้องหลบๆซ่อนๆ ทำ หรือถ้าเผยแพร่ออกทางสื่อ ก็จะมีข้อความกำกับมาด้วยเสมอว่า “เป็นความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม”

 

การวิจัยครั้งนี้ จึงเป็นการนำเสนอเรื่อง “ในเงาสลัว” ที่เคยอ้ำๆอึ้งๆในการทำ การบอกเล่า ขึ้นมาเปิดเผยอย่างแจ่มแจ้งในที่สาธารณะ ในลักษณะงานวิชาการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรระดับชาติ

 


แรงกระทบที่เผชิญมาตลอด

 

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ดิฉันได้พบปัญหาในการนำเสนอประเด็นทางจิตวิญญาณมาหนักมาก เพราะการที่ดิฉันมีอาชีพนักเขียนและนักวิชาการอิสระเขียนงานหลายประเภท  ดิฉันจึงได้พบความแตกต่างอย่างชัดเจน ที่เปรียบเทียบให้เห็นได้ดังนี้

 

สำหรับงานเขียนทางมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ข่าวการเมือง สารคดีทางวัฒนธรรม ที่นำเสนอสู่สังคม จะได้รับการยอมรับ สามารถนำเสนอตามหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ออนไลน์ เวทีวิชาการได้อย่างเปิดเผย และดิฉันยังได้รับรางวัลทางการเขียนมาหลายรางวัลแล้วด้วย

 

แต่ถ้าเป็นข้อคิดเห็น หรือประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ การติดต่อกับพลังงานและทวยเทพ ตามประสบการณ์ตรงที่ดิฉันได้พบ เมื่อดิฉันนำเสนอออกไปในที่สาธารณะ จะมีการรับฟังอย่างอ้ำๆอึ้งๆ ไม่มีนักเขียนหรือนักวิชาการคนได้ สามารถยอมรับได้อย่างเปิดเผย งานเขียนที่เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของดิฉัน นำเสนออย่างยอมรับกันได้ จะอยู่ในลักษณะของบทกวี วรรณกรรมเรื่องสั้น คอลัมน์ดวง

 

แต่พอมาเขียนเป็นงานสารคดีหรือบทความที่กล่าวถึงเรื่องทางจิตวิญญาณ ดูจะยาก ที่จะมีคนยอมรับ ดิฉันไม่อาจเอางานเขียนจากประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ขึ้นวางบนโต๊ะ หรือเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ได้ทัดเทียมกับผลงานเขียนอื่นๆ ทั้งที่งานเขียนทางวิชาการ งานวิจัยของดิฉันนั้น ที่มาของความรู้ การไปค้นคว้าเปิดหนังสือ วรรณคดี พงศาวดาร จดหมายเหตุ ส่วนมาก โดยเฉพาะใน ๑๐ กว่าปีหลังมานี้ ดิฉันใช้วิธีทำสมาธิ ถามเทพเอาเลยว่า ต้องไปใช้ข้อมูลอ้างอิง จากวรรณคดีเล่มไหน พงศาวดาร-จดหมายเหตุฝรั่งฉบับใด มีกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไว้บ้าง เพราะถึงดิฉันจะอ่านหนังสือมาก แต่ความจำดิฉันไม่ดี จำไม่ได้ อ่านจบแล้วแทบลืมหมด ดังนั้นเมื่อจะอ้างอิงที่มาของความรู้นั้น ก่อนอายุ ๔๕ ปี ดิฉันมักถามคุณพ่อ อ.ล้อม เพ็งแก้ว ว่าเรื่องนี้ต้องค้นจากหนังสือเล่มใด เพราะคุณพ่อมีความจำแม่นยำมาก  แต่ในช่วง ๑๐ กว่าปีหลังนี้ ดิฉันแทบไม่ต้องถามคุณพ่อแล้ว เพราะใช้วิธีทำสมาธิ ใช้ intuition ใช้จิตหยั่งถึงโดยตรง ติดต่อโดยตรงกับความรู้นั้น

 

ที่ชัดเจนมาก ก็ในหนังสือ “ปฏิวัติกัญชาสยาม ๒๕๖๒” ดิฉันใช้ intuition โดยตรงในการค้นคว้าเรื่องการกล่าวถึงกัญชาในวรรณคดีไทย ในบทแหล่บทสวดของชาวบ้านไทย และได้ไปเปิดหนังสือ หาข้อมูลตามเสียงที่ระบุเลขหน้า หรือ section ใด section หนึ่งของหนังสือเหล่านั้น

 

นี้คือวิธีการทำงานเขียน งานวิชาการโดยใช้หนทางของ spirituality ที่ดิฉันทำมาตลอดนับเป็น ๑๐ ปี แต่ไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง เพราะพอพูดขึ้นมา ก็มักถูกป้ายหัวว่า เพี้ยน งมงาย เพ้อเจ้อ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันเผชิญแรงกระแทกนี้มาตลอด ทั้งในครอบครัวตัวเอง และในหมู่มิตรสหายที่คบหา

 

แต่เวลาของหาย หรือ เจอปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ คนที่ว่าดิฉันเพี้ยน งมงาย เพ้อเจ้อ หลายคนก็มักมาขอให้ดิฉันช่วยหาของให้ หรือดูดวงให้ อยู่เป็นประจำ เป็นเช่นนี้แล้วดิฉันยังสงสัย เอาเข้าจริง ดิฉัน หรือคนที่มาขอความช่วยเหลือ ใครมันเพี้ยนกันแน่

 

ปัญหาที่ดิฉันเผชิญมายาวนานนี้ ฉันเคยเขียนไว้ในหนังสือของตนเอง ชื่อปก  “เรื่องเล่าของพลัง”  ดังข้อความที่ว่า

 

“อันที่จริงสังคมไทยแต่ดั้งเดิมนั้น การใช้ความรู้ซึ่งมีที่มาจาก “ญาณทัศนะ” หรือการหยั่งรู้ด้วยจิตโดยตรง (intuition) ถือเป็นเรื่องปกติมากๆ มีอยู่ในทุกชุมชน ทุกวิชาชีพ เป็นความรู้และความเชื่ออันเป็นรากฐานของสังคมบ้านเมืองเรามานับพันๆปี อยู่คู่กับวิถีชีวิตไทยมาเลยก็ว่าได้ จนเมื่อประเทศไทยเริ่มรับอิทธิพลตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ ๔ ตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นต้นมา ช่วงร้อยห้าสิบปีมานี้ ความเชื่อและความรู้ทางด้านจิตวิญญาณของไทย ก็ได้ถูกแปะป้ายว่าเป็นเรื่อง “ไสยศาสตร์” อยู่เรื่อยมา และเข้าสู่ภาวะการเป็นเรื่องคร่ำครึ ล้าสมัย หมกมุ่น ไม่น่าเชื่อถือ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพี้ยน บ้า ไม่ควรค่าแก่การยอมรับในวงกว้าง จนปัจจุบันหากมีการนำเสนอแนวคิดด้านจิตวิญญาณในที่สาธารณะ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีการขึ้นป้าย ขึ้นข้อความประมาณว่า เป็นความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

เพราะสังคมไทยเคยชินกับการนำเสนอเรื่องเหล่านี้แบบเดียว ไม่ว่าผู้ผลิตหรือผู้ชม ล้วนสร้างและรับรู้กันแทบจะเป็นพิมพ์เดียวเท่านั้นคือในเชิงไสยศาสตร์ ภูติผี หรือมิฉะนั้นก็เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ของเกจิอาจารย์ ของพระภิกษุนักปฏิบัติ....จะว่าไปแล้ว นับแต่ร้อยห้าสิบปีที่แล้วเป็นต้นมา การสัมผัสสิ่งต่างๆด้วย intuition ล้วนถูกนำเสนอออกมาในแนวทางนี้ (อันเป็นพิมพ์นิยม) แทบทั้งสิ้น

 

ตัวดิฉันเอง เมื่อนำเรื่องทางจิตวิญญาณมาพูดมานำเสนอในที่สาธารณะ ก็ยังต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง  แต่ก็ยังเคยถูกนำความคิดเห็นไปเสนอในรายการโทรทัศน์โดยดิฉันไม่อนุญาต ทั้งยังนำเสนอด้วยวิธีแบบเดียวแบบเดิมที่สังคมไทยเคยชิน คือเอาไปทำเป็นเรื่องภูติผี ไสยศาสตร์ไปซะดื้อๆ เพราะผู้นำเสนอก็รู้จักแต่วิธี “เล่าเรื่อง” ในมิติเดียวมิตินี้เท่านั้น  เหตุการณ์ครั้งนั้นดิฉันได้ทำการร้องเรียนไปทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องเรียน จนมีการขอโทษด้วยวิธีการต่างๆ ในที่สาธารณะเรียบร้อยไปแล้วเมื่อกลางปี พ.ศ.๒๕๕๔

 

แต่นั่นก็ทำให้ดิฉันได้เข้าใจในหลายสิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น  ทำให้ดิฉันตั้งคำถามอย่างถึงต้นขั้วต้นรากของการใช้วิธีหยั่งรู้ทางจิตโดยตรงในสังคมไทย เพราะขณะที่ดิฉันเองอยู่กับหนทางการใช้ intuition-ญาณทัศนะ มาตลอด ทั้งในวิถีชีวิต การติดต่อผู้คน การเข้าใจโลก การเข้าใจสังคม การทำงาน การเขียนเรื่องเหล่านี้ออกมา แต่ทำไมเมื่อมีผู้มาจัดการนำเสนอแนวคิดของดิฉัน นำเสนอการ “มองเห็น” การ “สัมผัส” บางสิ่งของดิฉัน ออกทางสาธารณะ ดิฉันจึงยอมรับไม่ได้ รู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างรุนแรง ทั้งยังทำความเสียหายให้ดิฉันด้วย ซึ่งสิ่งที่ดิฉันรู้สึกนี้ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับเพื่อนรอบตัวจากทั้งคนวิชาชีพเดียวกันและคนต่างวิชาชีพ พวกเขาล้วนบอกดิฉันตรงกันว่า สิ่งที่ปรากฏในรายการทีวีครั้งนั้น การที่ดิฉันไปเดินดูที่ดินและบอกว่า เห็นอะไรอยู่ตรงไหนนั้น เหมือนกับ “แกเพี้ยน แกเป็นบ้าไปแล้ว” บางคนบอกด้วยว่าถ้าดิฉันต้องทำงานวิชาการต่อไปเหมือนอย่างที่เขาทำ ดิฉันคงไม่ได้ผุดได้เกิด ไม่มีพื้นที่ใดๆทางวิชาการให้ทำงานได้อีกต่อไป

 

ฟังแล้ววาระแรกดิฉันก็อึ้งไปเหมือนกัน จากนั้นเมื่อไตร่ตรองจนเห็นที่มาที่ไปอย่างปรุโปร่ง ก็เริ่มปลงธรรมสังเวช เพราะที่จริงแล้วดิฉันไม่เคยแคร์อะไรกับพื้นที่ทางวิชาการ เขียนหนังสือออกมายังไม่ค่อยสนใจว่าใครจะมาอ่าน แต่เขียนด้วยหน้าที่ที่ต้องทำให้เรื่องซึ่งลุงป้า ชาวบ้านไทย ชนกลุ่มน้อยมาบอกเล่าให้ฟังไว้ ต้องปรากฏออกมา ให้เสียงของเขาดังออกจากความเงียบให้ได้ นั่นเป็นหนทางให้ช่วงเวลาที่ท่านเหล่านั้นเสียสละมาพูดคุยกับดิฉันไว้ มาให้ความรู้กับดิฉันไว้ จะไม่สูญเปล่า

 

แต่คำวิจารณ์ของคนรอบตัวก็ทำให้ดิฉันใคร่ครวญในประเด็นหนึ่งอย่างจริงจังว่า ทำไมทั้งที่ดิฉันได้เผยแพร่เรื่องการใช้ญาณทัศนะ การหยั่งรู้ด้วยจิตโดยตรงของชาวบ้านไทย ศิลปินไทย และคนต่างชาติบางกลุ่มมาโดยตลอด หากเมื่อมีคนมานำเสนอสิ่งที่ดิฉันเชื่อและพยายามเผยแพร่ออกมานั้น ดิฉันกลับเห็นเป็นเรื่องเสียหาย และคนรอบตัวกลับเห็นเป็นเรื่องเสียชื่อ เสียหาย เสียภาพพจน์ไปทั้งสิ้น?

 

คำตอบที่ผุดวาบขึ้นมาอย่างแจ่มชัดก็คือ เป็นเพราะ “วิธี” เล่าเรื่องนั้นเอง ด้วยวิธีเดียววิธีเดิมที่ทำให้การใช้ญานทัศนะ-intuition  หากปรากฏออกมาต้องมีข้อความ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม กำกับติดแหง็กมาด้วยอย่างแกะไม่หลุด และเล่ากันมาในแบบ “คนเห็นผี” เพราะเล่ากันมาแต่แบบนี้ จึงทำให้การใช้ญาณทัศนะ ใช้ intuition กลายเป็นเรื่องชั้นต่ำ เรื่องใต้โต๊ะ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือเป็นกระทั่งเรื่องตลก บ้า เพี้ยน อวดอุตริไปเสียได้ ทั้งๆที่ฐานะของการได้ความรู้ด้วยญานทัศนะ-intuition ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการได้ความรู้ด้วยวิธีการปกติของมนุษย์ทั่วไป ไม่ต่างไปจากการหาความรู้ด้วย อายตนะ-sensation, เหตุผล-reason, หรือ จินตนาการ-imagination ที่ได้รับการยอมรับ ขึ้นหิ้ง วางอยู่บนโต๊ะ พูดคุยกันได้อย่างหน้าชื่นองอาจ อย่างน่าชื่นชม เพราะดูเป็นเรื่องทาง “วิทยาศาสตร์” อันน่าเชื่อถือสุดๆมายาวนานแล้ว

 

จะอีกยาวนานแค่ไหนเล่า ที่สังคมไทยจะยอมรับจะพูดถึงเรื่องทางการใช้ญาณทัศนะบนโต๊ะ หรือในที่สาธารณะกันอย่างเปิดเผย อย่างยอมรับว่าเป็นกระบวนการได้มาของความรู้แบบหนึ่ง เป็นปกติเช่นเดียวกับวิธีการอื่นๆ เมื่อใดเล่าเราจะมีวิธีนำเสนอการได้มาของความรู้ประเภทนี้อย่างมีคุณค่าในเชิงวิชาการ ไม่ใช่ชนิดคนเห็นผี ที่ดูแล้วต้องใช้วิจารณญาณกำกับ อย่างที่รายการทีวีทั่วๆไปที่หลอกคน หรือตั้งหน้าตั้งตาบิ๊วท์อารมณ์คนดูกระทำกัน?

 

งานเขียนชุด “เรื่องเล่าของพลัง” ที่ดิฉันนำเสนอมานี้ คืองานเขียนที่พยายามเล่าเรื่องด้วยวิธีการปกติเช่นเดียวกับงานบทความหรือสารคดีภูมิปัญญาชาวบ้านอื่นๆ อย่างที่ดิฉันเคยเขียนมา  ที่แน่ๆคือไม่ใช่การเล่าออกมาในลักษณะ “คนเห็นผี” อย่างที่เคยทำๆกันมา  แต่เป็นบันทึกการใช้ญาณทัศนะของผู้คนกลุ่มต่างๆ ใช้มิติทางจิตวิญญาณในการเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต และสร้างสรรค์ผลงานอันก่อร่างสร้างวัฒนธรรมไทยในอดีตเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้”

การลงพื้นที่ทำงานวิจัย

 

ในการลงพื้นที่ทำงานวิจัยครั้งนี้ ทีมงานของเรา ซึ่งมีผู้ร่วมวิจัยอยู่ ๗ คนคือดิฉัน  คุณสุภาพ ดีรัตนา, คุณทัศนีย์ ดีรัตนา, คุณจารุปภา วะสี, คุณอุษณีย์ เพียรภัทรพงศ์, คุณจำเรียงรดา โมนะ, คุณวิภาวรรณ ตินนังวัฒนะ และผู้ร่วมทีมเดินทางในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเราได้เข้าไปยังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง ในจังหวัด สุพรรณบุรี, จ.สระแก้ว,จ.ปราจีนบุรี, จ.อุดรธานี, จ.อุบลราชธานี,จ.นครราชสีมา, จ.สระบุรี,จ.ชลบุรี และได้สัมภาษณ์ อาจารย์เดชา ศิริภัทร,ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม, พระไพศาล วิสาโล ในประเด็นทางจิตวิญญาณ

 

การทำงานวิจัยครั้งนี้ สำหรับดิฉันแล้ว รู้สึกคุ้นเคยและสบายใจมาก เพราะเป็นเรื่องปกติ สามัญ ในชีวิตของตัวเอง ที่ติดต่อกับพลังทางธรรมชาติ ทวยเทพมาตลอดหลายสิบปี เป็นเรื่องปกติของชีวิตดิฉัน ที่ดูไม่ปกติ สำหรับคนอื่นที่มองเข้ามา แต่เมื่อทำงานวิจัยประเด็นนี้ ดิฉันก็ได้ใช้พลังงาน ใช้ความเข้าใจ ใช้การสื่อสารที่ตัวเองทำอยู่ทุกวัน เผยแพร่ออกมาในหมู่เพื่อนๆ พี่ น้อง ได้อย่างเต็มที่

 

ดิฉันและทีมงานได้พบข้อมูลหลายอย่าง ที่สนับสนุนให้มั่นใจได้ว่า การติดต่อกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยรู้จักในนามของ ผี เทพ เจ้าที่ สามารถทำได้จริง ยาจากเทพบอกมีจริง ตรงกับตำรับยาไทยที่สืบทอดจากบรรพชนและตรงกับการตรวจสอบทางเภสัชศาสตร์ของตัวยาในพืชพันธุ์แต่ละชนิดได้จริง และสามารถนำมาปรุงยา สามารถใช้เป็นตำรับยา เป็นทางออกหลายอย่างให้กับภาวะบีบคั้นกดดันทางสังคม สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และความป่วยไข้ซึมเศร้า ที่เป็นกันหนักของคนรุ่นใหม่ ของคนยุคนี้ได้



ผลจากการทำงานวิจัย และการนำเสนอในงานเสวนาที่สามย่านมิตรทาวน์

 

เมื่อดิฉันได้นำเสนอผลการวิจัยในงานเสวนา “Spiritual Tourism หนทางใหม่สู่การเยียวยา” เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ห้องประชุม ๒-๓ ชั้น ๕ สามย่านมิตรทาวน์ และในยามเย็นวันนั้นยังได้เข้าร่วมในวงเสวนาแม่มดของ ดร.อันธิฌา แสงชัย ดิฉันได้พบว่า คนรุ่นใหม่สนใจทางด้านจิตวิญญาณและการใช้พลัง การติดต่อกับพลังธรรมชาติเป็นอย่างมาก ซึ่งดิฉันได้เขียนบันทึก และได้ไลน์ถึง ดร.อันธิฌาไว้ ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนอย่างชัดเจนยิ่ง สำหรับงานวิจัยและการเสวนาในครั้งนี้ ดังข้อความที่ดิฉันเขียนไว้ว่า

 

เมื่อวานงานของน้องดีมากเลย พี่ประทับใจมาก  ไม่นึกว่า พี่จะทันอยู่มีชีวิตมาได้เห็นภาพคนรุ่นใหม่มารวมตัวกัน ทำงาน-ขับเคลื่อน-ดูแลโลกด้วยพลังทางจิตวิญญาณ ในวิถีของแม่มด  ที่ทุกคนมาจับมือกัน ประสานใจรวมมือ ไปด้วยกัน อย่างมีพลังอบอุ่น บริสุทธิ์ใจ ดูแลกันไปเช่นนี้

 

หลายสิบปีก่อนที่พี่เริ่มรู้ตัวว่ามีพลังเทพธรรมชาติ สื่อสารติดต่อพี่ผ่านความรู้สึก-เสียง-ภาพ จากต้นไม้ หิน กระแสน้ำ สายลม ดวงดาว

 

พี่โดดเดี่ยวมาก

 

เดี๋ยวนี้พี่ชื่นใจ วางใจ มั่นใจว่าคนรุ่นใหม่ น้องๆ  จะทำงานสืบต่อจากโลกโบราณ และทำงานส่งต่อปัญญาญาณนี้ ให้คนรุ่นต่อไป เหมือนที่บรรพชนของคนสัมผัสพลังทั่วโลก ทำกันมาตลอดทุกยุคของการมีมนุษย์เกิดขึ้นในโลกงดงามแห่งนี้

 

ทั้งที่เราถูกฆ่าฟัน ปราบปราม ข่มเหง เหยียดหยามให้ต่ำค่าเพียงใด

 

แต่แม่มดไม่เคยหมดไปจากโลก และกำลังกลับมาขับเคลื่อนกระบวนการดูแลสรรพชีวิตรายรอบ อย่างเข้มแข็งมากขึ้น อย่างก้าวกระโดดแล้ว

 

พี่เป็นเพียงผู้ส่งต่อคบไฟ จากบรรพชน ไปให้น้องๆ

 

ด้วยความมั่นใจว่าน้องๆจะ เดินหน้าต่อไปได้อย่างเข็มแข็ง มีพลัง  และประสานมือกับทุกพลังงานสว่างของทุกมิติ  ได้เป็นอย่างดี

 

พี่ขออวยพร

 

ด้วยความหวัง

 

ในการทำวิจัย “Spiritual Tourism” ครั้งนี้ ดิฉันยังมุ่งหวังว่า หนทางในการเชื่อมต่อกับพลังงานธรรมชาติ จะช่วยเยียวยาให้คนรุ่นใหม่ คนยุคปัจจุบัน ได้พบพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เข้าไปให้พลังงานในพื้นที่นั้นเยียวยาดวงจิตให้สงบระงับจากความรุ่มร้อน ได้พบตำรับยาสมุนไพรจากคำบอกเล่าของทวยเทพ นำมาใช้บำบัดอาการหม่นหมองซึมเศร้า เป็นหนทางสู่ความสงบศานติ ดังที่ดิฉันได้ยินเสียง ได้สัมผัสความรู้ในมิตินี้มาตลอด ในช่วง ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา  และได้มาทำงานวิจัยในแนวทางนี้ที่มีหน่วยงานของรัฐรองรับสนับสนุน เพื่อเผยแพร่ความรู้นี้ออกมา

 


ผู้เขียน นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว





Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page