top of page

KN-3 | ปาฐกถานำ “ที่พักพิงยามสิ้นหวัง : การปลอบประโลมใจจากพระพุทธองค์ และเดวิด ฮิว์ม”

Updated: May 23

2 มี.ค. 68  09:15-10:00 น.  เวทีกลาง สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

องค์ปาฐก :  ศ.กิตติคุณ ดร.สุวรรณา สถาอานันท์  อาจารย์พิเศษภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ปาฐกถานี้เป็นความพยายามเล็กๆของคนเรียนปรัชญา ที่จะนำเสนอวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงใช้ปลอบประโลมใจคนสิ้นหวังจากความสูญเสียอันสาหัสลึกซึ้ง ท่านทรงเมตตาด้วยความอาทรอย่างปล่อยวาง เพื่อ “โอบรับคนบ้าที่สิ้นหวัง” เข้าสู่ชุมชนมนุษย์อีกครั้ง และจะนำเสนอวิธีการที่เดวิด ฮิว์ม นักปรัชญาสายประจักษ์นิยมคนสำคัญในศตวรรษที่ 18 ทดลองใช้ตนเองในช่วงเกิดภาวะซึมเศร้าและประสบความล้มเหลวในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า



ชมคลิปบันทึกปาฐกถาแบบย่อ


ชมคลิปบันทึกปาฐกถาแบบเต็ม



สรุปใจความสำคัญ


นำเสนอคุณค่าและความหมายของการปลอบประโลมใจในแง่ของการทำงานกับมิติทางอารมณ์ ขณะ เดียวกันก็สนุกที่จะนำเสนอแนวความเชื่ออีกแบบหนึ่งที่อาจดูเหมือนตรงกันข้าม  โดยทั้งหมดมีแง่มุมของความเป็นจิตวิญญาณที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า  องค์ปาฐกบรรยายด้วยสไลด์เพียงหน้าเดียว  ทว่าเนื้อหานั้นถูกเตรียมมาอย่างดี เข้มข้น ทุกคำที่บอกเล่าล้วนมีความหมาย มีที่มาอ้างอิง และมีจุดประสงค์ชัดเจนในการนำเสนอแต่ละส่วน

 

การปลอบประโลมใจคือชั่วขณะสำคัญที่เราเปิดพื้นที่ให้มิติทางอารมณ์ได้รับการทำงาน  คนส่วนใหญ่มักมองข้าม และอาจถึงขั้นไม่เข้าใจและไม่เห็นความสำคัญของช่วงเวลานี้  ขณะที่คนที่กำลังดิ่งจมกับความทุกข์สาหัสก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้กับความทุกข์ของตนเอง    คำถามคือ แล้วเราจะสามารถทำความเข้าใจความพลิกผันทางอารมณ์และความทุกข์นั้นจากแง่มุมของผู้ที่มีความทุกข์อยู่ได้หรือไม่  เราจะสามารถร่วมจินตนาการรับรู้อารมณ์อันปวดร้าว รุนแรง และเข้มข้นของผู้สูญเสีย ด้วยความเข้าใจที่ละเมียดละไมได้หรือไม่และอย่างไร   ความเข้าใจในความหมายและแนวคิดเรื่องการปลอบประโลมใจ อาจช่วยให้เรารับมือกับภาวะอารมณ์อันท่วมท้นด้วยความทุกข์เจ็บปวดทั้งของตัวเราเองและของคนอื่นได้อย่างสอดคล้องต่อธรรมชาติของตัวอารมณ์เองได้มากขึ้น   ในอีกด้านหนึ่ง ด้วยแนวคิดฝ่ายประจักษ์นิยมแบบเดวิด ฮิว์ม ที่เชื่อว่าไม่มีสวรรค์และพระเจ้าที่คอยช่วยเรายามตกทุกข์ได้ยาก หากเมื่อใดที่เกิดความทุกข์รุนแรงขึ้นในชีวิตจนหมดพลังที่จะต่อสู้ เราจะเอาพลังจากที่ไหนมาฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นมามีชีวิตต่อ  นี่ก็คือคำถามที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง

 

  • การปลอบประโลมใจบนหนทางของพระพุทธองค์ ไม่ได้ตั้งต้นจากการทำประเด็นส่วนบุคคลให้กลายเป็นประเด็นสากลโดยเร็ว  หากลงมาทำงานกับอารมณ์ด้วยความเข้าใจระดับบุคคลอย่างละเมียดละไมลึกซึ้งก่อน

  • พระองค์ยอมรับได้กับความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของการมีความทุกข์ของนางกีสาโคตมีว่าสิ่งนั้นก็คือความจริง

  • การหวนคืนสู่ครอบครัวมนุษย์ ได้รับรู้ความจริงของมนุษย์คนอื่นจนเกิดความหมายใหม่ที่เป็น Collective Personal  นี่คือกุญแจสำคัญในการปลดคลายออกจากความทุกข์ระทมของตัวเอง

  • พระพุทธเจ้าพานางปฏาจาราให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมนุษย์ อันเป็นขั้นตอนแรกของการปลอบประโลม  นั่นคือการพาให้ก้าวข้ามจารีตสังคมที่คอยกีดกันมนุษย์ (บางคน) ออกไป

  • สวรรค์เคยเป็นคำปลอบประโลมใจจากจักรวาลที่คอยให้รางวัลแก่ความดีงามของโลกใบนี้  แต่เดวิด ฮิว์มปฏิเสธสิ่งนี้โดยมีราคาที่ต้องจ่าย  เขาหาทางออกด้วยตัวเองด้วยการเบี่ยงเบนไปใส่ใจเรื่องดี ๆ ต่าง ๆ  ซึ่งนับว่าเป็นหนทางแบบอัตสัมฤทธิ์ ที่เชื่อว่าทุกอย่างลิขิตได้ด้วยพลังของตัวเองแม้กระทั่งการปลอบประโลมใจ

 

การปลอบประโลมใจ ใช้รับมือกับความทุกข์ยากลึกซึ้ง ช่วยหาวิธีที่จะไม่ละทิ้งชีวิต แต่ยังอยู่ต่อได้อย่างมีความหวัง

 

นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการปลอบประโลมใจเช่นนี้ ช่วยขยายให้เห็นมุมมองและความหมายของวิธีการของพระพุทธองค์ในแบบที่ยังไม่ค่อยเคยมีการชี้ประเด็นในลักษณะนี้มาก่อน  ในขณะที่แนวคิดเรื่องการไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่เอาจิตวิญญาณนั้นเชื่อมโยงกับกระแสของโลกในยุคปัจจุบันได้มากกว่า   แต่ไม่ว่าเราจะเชื่อแบบใด หรือเราก็จะมีวิธีการปลอบประโลมใจแบบใดตามที่เราเชื่อ ทั้งหมดล้วนย่อมมีราคาที่เราจะต้องจ่ายอยู่เสมอ

 

การปลอบประโลมใจเปิดพื้นที่ให้กับการทำงานทางอารมณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึกของการร่วมทุกข์ และนำพาผู้ที่เป็นทุกข์จากการไม่อาจยอมรับความสิ้นหวัง ให้กลับคืนสู่การมีความหวังในชีวิตได้อีกครั้ง   นอกจากนี้ การปลอบประโลมใจยังช่วยให้เกิดความสงบภายในแก่ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์  สามารถฟื้นคืนสติกลับมารับรู้ถึงความเป็นจริงของทุกข์นั้น ๆ ได้  ส่งผลให้สันติภาวะบังเกิดขึ้นทั้งภายในตัวปัจเจกเองและแผ่ขยายไปสู่สังคมภายนอกได้ตามมา    นี่คือหนทางสำคัญที่เราจะใช้ทำความเข้าใจและดูแลผู้คนต่าง ๆ ที่ต้องประสบกับความทุกข์ระทมใหญ่หลวงจากความไม่เป็นธรรมของสังคมในโลกปัจจุบันได้

 

การปลอบประโลมใจยังมีความหมายในระดับจิตวิญญาณร่วม กล่าวคือ เมื่อความทุกข์ของปัจเจกถูกรับรู้ และรู้สึกร่วมกัน มันจะนำไปสู่ความหมายของการเป็น ความทุกข์ร่วมของปัจเจก (Collective Personal)  จากนั้น  ความหมายของทุกข์นั้นจะสามารถเคลื่อนเข้าสู่มิติที่เป็นจิตสำนึกร่วมสากลหรือจิตสำนึกร่วมของจักรวาลได้ต่อไป เป็นผลให้เรารู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทุกสรรพสิ่ง

 

ชีวิตคือการเดินเล่นเตร็ดเตร่ (Wandering)  ดูความงามเล็ก ๆ ข้างทาง

 

และพบความรื่นรมย์ระหว่างทาง   ชีวิตไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายใหญ่อะไร   -   จวงจื่อ





Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ติดตามเรา

  • Facebook
  • Youtube
ศูนย์ความรู้_darker text.png
Logo_Portfolio_RGB_ThaiHealth_2022-01.png
bottom of page