รีวิวโดย: จารุปภา วะสี
ปาฐกถา “ฟิสิกส์ทฤษฎีและปรัชญาธรรมชาติกับสัมมาพัฒนา” โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี
ในโอกาสเปิดศูนย์ฟิสิกส์ทฤษฎีและปรัชญาธรรมชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสววรรค์ วันที่ 20 มี.ค. 2566
รีวิว
Quantum Religious – ศาสนาควอนตัม ความจริงใหญ่เดียวกันที่ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาค้นพบ
“ทั่วท้องจักรวาล มีเส้นด้ายถักทอกันขึ้นเป็นข่ายใยไร้ปลาย แต่ละแห่งหนที่เส้นด้ายพาดผ่านกัน
ณ ที่นั้น มีดวงชีพสถิตอยู่
และแต่ละดวงชีพคือลูกปัดมณี และลูกปัดมณีแต่ละเม็ด
ไม่เพียงสะท้อนประกายแสงแห่งมณีเม็ดอื่นๆ
ทั่วทุกเม็ดในข่ายแห่งองค์อินทร์
หากยังสะท้อนภาพสะท้อนของมณีทั้งปวง
ในสากลจักรวาล”
“ข่ายแห่งพระอินทร์” จากคัมภีร์ฤคเวท
(จากหนังสือ หันหน้าเข้าหากัน โดย มาร์กาเร็ต วีตเลย์ แปลโดย บุลยา)
ตอนนี้ควอนตัมฟิสิกส์บอกความจริงใหม่แก่เราว่า เส้นแบ่งระหว่างผู้สังเกตและผู้ถูกสังเกตหายไปแล้ว สิ่งที่ตายตัว เป็นของมันอยู่อย่างนั้นโดยเอกเทศ ไม่มีอีกแล้ว เราตั้งใจมองว่าสิ่งหนึ่งเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นเมื่อตั้งใจมองให้เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันก็เปลี่ยนเป็นอีกสิ่งตามที่เรามอง อิเล็กตรอนตัวเดิม เดี๋ยวก็เป็นอนุภาค เดี๋ยวก็เป็นพลังงาน เป็นไปตามเครื่องมือตรวจวัด ตอนที่ค้นพบเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ตกใจ เหมือนถูกผีหลอก ควอนตัมฟิสิกส์บอกด้วยว่า ความเชื่อมโยงระหว่างสองสิ่งเกิดขึ้นด้วยความเร็วกว่าแสง แม้จะอยู่ห่างไกลกันมาก เมื่ออิเล็กตรอนตัวหนึ่ง ถูกแบ่งเป็นสอง และส่งไปยังคนละเมือง เมื่อตัวหนึ่งเปลี่ยนสภาพ อีกตัวก็เปลี่ยนสภาพทันที อย่างเชื่อมโยงและเติมเต็มกัน ทำให้ระยะทางไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกแล้ว เมื่อการเชื่อมโยงกันด้วยความเร็วเหนือแสงเป็นไปได้ และความจริงเดิมที่ว่า ไม่มีอะไรเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ขณะนี้ทฤษฎีสตริงกำลังพิสูจน์ความจริงว่า ทั้งจักรวาลมีธรรมชาติบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ทั้งหมด และเชื่อมถึงกันด้วยความเร็วกว่าแสง เป็น Super String และกลายเป็นแรงต่างๆ เช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง พลังงานนิวเคลียร์ทั้งสองชนิด
ความจริงทางวิทยาศาสตร์และความจริงทางศาสนาเดินมาถึงจุดบรรจบกันแล้ว เป็นความจริงใหญ่ บรมสัจจะ หรือ ปรมัตถสัจจะเดียวกัน เป็น Quantum Religious – ศาสนาควอนตัม ที่พาเราให้เข้าใจความจริง ว่าทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน ตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนแน่นอน และเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆอย่างลึกซึ้ง
ศาสดาของทุกศาสนาเข้าถึงความจริงเดียวกันนี้มานานกว่าสองพันปีแล้ว ไม่ใช่ด้วยความคิดเชิงเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ แต่เป็นประสบการณ์ตรงผ่านการปฏิบัติ
ฟิสิกส์ทฤษฎีบอกถึงความจริงพื้นฐานของจักรวาลว่า สิ่งต่างๆเกิดขึ้นหลังจากบิ๊กแบงก์เมื่อ 15,000 ล้านปีก่อน เมื่อพลังงานมหาศาลระเบิดตัวออกมาจากจุดเดียวที่เรียกว่า Singurality และเคลื่อนขยายตัวออกจากจุดศูนย์กลาง เกิดเป็นดวงดาวต่างๆในจักรวาลที่ยังขยายตัวไม่สิ้นสุด
นอกจากความจริงนี้ ศาสดาของทุกศาสนายังพบความจริงอีกอย่างหนึ่งด้วย ว่าธรรมชาติมีความจริงเป็นสอง คือความจริงที่ปรุงขึ้นมาเป็นสิ่งต่างๆ ซึ่งแปรเปลี่ยนอย่างเชื่อมโยงกันหลังการเกิดบิ๊กแบงก์ และความจริงที่ไม่มีการปรุง สงบ เงียบ กว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด และเป็นนิรันดร์ ณ จุดก่อนจักรวาลก่อกำเนิด เมื่อเข้าถึงแล้วรู้สึกเป็นสุขดั่งทิพย์ และมีอิสรภาพล้นเหลือ เพราะจิตที่สัมผัสความจริงนี้ ก็จะกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกับความจริงที่สัมผัส
และเมื่อเรา .... ทั้งฝ่ายวิทยาศาสตร์และศาสนา เปิดใจ และเชื่อได้อย่างไม่สงสัย ว่าสิ่งต่างๆไม่ตายตัว ไม่มีอะไรดำรงอยู่อย่างแยกส่วนเป็นเอกเทศ สัมพันธ์กันทั้งหมดอย่างมีพลวัต และร่วมวิวัฒนาการ โลกของเราจะเปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ในวันนี้มาก
สู่ยุคบูรณาการด้วยควอนตัมฟิสิกส์
ตลอดมาของประวัติศาสตร์โลก ราษฎรไม่เคยได้รับความเป็นธรรม มีแต่ถูกเอาเปรียบและกดขี่อย่างรุนแรง การสะสมตัวของมวลมหาศาลความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากสูญเสียสำนึกแห่งองค์รวมว่าทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันทั้งหมด
เช่นที่สหรัฐอเมริกา เกิดรูปแบบการพัฒนาแบบ 99:1 คือเป็นประโยชน์ต่อคน 1% อีก 99% ทั้งไม่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ทำให้โลกเต็มไปด้วยความป่วยไข้ ทุกข์ยาก และลุกร้อนเป็นไฟทั้งจิตวิญญาณและกายภาพ ติดตัน และไปต่อในหนทางเดิมไม่ได้แล้ว
ความปั่นป่วนวุ่นวายมีเอนโทรปีหรือพลังงานที่ต้องใช้ในการดำรงตนสูง ทำให้เหลือพลังงานที่จะใช้ทำประโยชน์น้อย ส่วนความสมดุลมีเอนโทรปีต่ำ ทำให้เหลือพลังงานไปทำประโยชน์ได้มาก
และหากเข้าใจกฎแรงโน้มถ่วงของฟิสิกส์ เราจะรู้ว่าสิ่งที่มีแรงโน้มถ่วงมาก และดึงสิ่งที่เล็กกว่าเอาไว้ แม้จะทำอย่างไร พยายามสักแค่ไหนก็หลุดรอดไปไม่ได้ สิ่งที่มีมวลอำนาจมากที่สุดคือ “อำนาจรัฐ” และ “อำนาจเงิน” ซึ่งจะดูดทุกอย่างเข้าหาตัว ไม่ว่าส่วนอื่นจะทำอย่างไรก็ไม่มีวันเอาชนะแรงโน้มถ่วงนั้นได้ การต่อสู้กับอำนาจรัฐและอำนาจเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคม จึงมีแต่พ่ายแพ้ สูญเสีย และไม่เคยสำเร็จอย่างแท้จริง
การกระจายทรัพยากรคือรูปธรรมของความเป็นธรรม หนทางของการกระจายทรัพยากรคือการทำให้มวล “อำนาจทางสังคม” โตขึ้น และสมดุลกันทั้ง 3 อำนาจ เป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้ต่อสู้กับอำนาจเดิม แต่เติมพลังของการร่วมคิดร่วมทำ พลังทางความรู้และปัญญา และพลังจากเครื่องมือเชิงสถาบันให้ภาคสังคม เช่น การมีสถาบันการเงินของตัวเอง โดยดึงทรัพยากรจากรัฐและเงินเข้ามาเสริม ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในการทำงานของ “ขบวนการแพทย์ชนบท” และการเกิดขึ้นของ “องค์กรตระกูล ส.” ต่างๆ เช่น สสส. สวรส. สปสช. และสช.
ควอนตัมฟิสิกส์ทำให้เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติว่า ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันทั้งหมด แปรเปลี่ยนไปด้วยกัน และไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเป็นเอกเทศตลอดกาล จะเปิดทางพาเราเข้าสู่ยุคบูรณาการของศาสนา วิทยาศาสตร์ และสังคม เป็นการบูรณาการใหญ่ “Great Integration” สู่หนทางของการพัฒนาที่ถูกต้อง ที่จะทำให้มนุษย์และโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสุขภาวะทุกด้าน
Comentarios